บทที่ 4 เปลี่ยนจาก “หมดกำลังใจ เกียจคร้าน เรื่อยเฉื่อย” เป็น “มีกำลัง ตั้งมั่นเร่งความเร็ว”

55.เมื่อเป็นผู้นำแล้วก็ต้องตั้งมั่นว่า “บริษัทมีกำไรให้ได้”
เมื่อเป็นผู้นำ มี3 สิ่งที่ต้องยึดถือปฎิบัติอยู่เสมอ ดังต่อไปนี้
1 มีความตั้งมั้น และตระหนักว่า ต้องทำไรให้ได้
2 มีความตั้งมั่นในการรักษาความกระตือรือร้น และความพากเพียรพยายาม
3มีความตั้งมั่นในการสร้างทีมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและมีความแน่วแน่
ดูเผินๆอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่การปฎิบัติ 3 ข้อนี้ ให้ได้อย่างต่อเนื่องนั้น ยากแทบไม่น่าเชื่อ สมมติ ข้อ1 ถ้าคิดว่า ทำไม่ได้ เพราะตลาดแคบมากอยู่แล้ว ก็เป็นอันต้องเลิกกิจการแน่ ส่วนข้อ 2 พอยอดขายดีขึ้นมาซักหน่อย ก็มักจะสืบสานต่อ และข้อ 3 พอนานวันเข้าก็กลายเป็น ทีมสุขสันต์ ทั้งหัวหน้า ทั้งทีมงาน พอเริ่มรู้สึกว่าบริษัทเป็นที่สบายแล้ว ความกล้าที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงอะไรก็หายไปด้วย
การลงมือทำสิ่งเหล่านี้อาจดูง่ายกว่าที่คิด แต่ในความจริง ถ้าขาด ความตั้งใจ อย่างแท้จริง ก็ไม่สามารถปฎิบัติให้ลุล่วงได้
56.เรื่องที่คุณทำไม่ได้ ลูกน้องก็ไม่มีทางทำได้
ผมได้ฟังเรื่องของทีมโค้ชฟุตบอลเยาวชนเรื่องนี้มาจากเพื่อนรุ่นน้องเขาเป็นเป็นผู้ช่วยของโค้ชสอนฟุตบอลให้เด็ก ซึ่งยังดูหนุ่มในวัย 60 กว่า อดีต เป็นนักกีฬามืออาชีพ ตอนนั้นโค้ชบอกเขาอย่างตื่นเต้นว่า นี่ละสุดยอด เด็กๆจะได้เห็นเทคนิคระดับมือโปรกันอย่างใกล้ชิดละ ตัวโค้ชเองเล่นฟุตบอลมาตลอดจนถึงเรียนมหาลัย ในด้านเทคนิคจึงมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นผู้สอน เวลาเดาะบอลก็ทำได้อย่างคล่องแคล่วคล่องว่องไว
แต่สิ่งที่น่ายินดีสำหรับการเข้ามาของโค้ช ก็คือ เขาสอนเด็กๆอย่างทุ่มเททั้งกายและใจว่า “คนเรา ไม่ใช่ดีแต่พูด ต้องทำให้เห็นถึงจะเรียกได้ว่าทำเป็น”
ใครๆก็เป็นนักวิจารณ์ได้ แม้แต่คนที่ไม่ฟังความเห็นของนักวิจารณ์แต่เขาก็ยังเชื่อในคำพูดของคนที่ลงมือทำจริง เมื่อไรที่ลูกน้องไม่ทำงานก็ไม่มีสาเหตุอื่น นอกจากคุณกำลังทำตัวเป็นนักวิจารณ์โดยไม่ได้ลงมือทำงานเลย
57.องค์กรไม่มีทางเติบโตได้เกินกว่าความสามารถของผู้นำ ถ้าอยากเพิ่มผลประกอบการแทนที่จะไล่เบี้ย เอาลูกน้องให้เริ่มที่ตัวเอง
ตั้งใจทำงานให้มากกว่านี้หน่อย ยอดขายลดลงจากปีที่แล้วตั้งแต่ 30% พวกคุณมัวทำอะไรอยู่ หา”
หัวหน้าแผนกที่มีผลงานลดลงกำลังไล่เบี้ยลูกน้องดังกล่าวข้างต้น ผมคิดว่าไล่เบี้ยลูกน้องนั้นไม่ใช่สิ่งไม่ดี แต่บางทีก็อยากจะบอกว่า “วิธีนี้ไม่ได้ทำให้ลูกน้องทำงานดีขึ้นหรอก”
ถ้าให้อธิบายก็คือ การตวาดและไล่กวดจนลูกน้องกระเจิดกระเจิงเป็นการเผยให้เห็นว่าหัวหน้าแผนกนั้นหาทางออกไม่ได้ จึงได้วิธีกระตุ้นด้วยควมรุนแรงตามหลักความคิด ถ้าใจสู้ อย่างไรก็ต้องทำได้
ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การทำงานด้วยความคิดแบบเดียวกันในภาวะเศรษฐกิจดีนั้น แค่จะรักษาผลประกอบการให้เท่ากับที่ผ่านมายังเป็นเรื่องยากสิ่งที่จำเป็นคือหัวหน้าต้องเดินหน้า ไม่ใช่ลูกน้อง ซึ่งก็คือไอเดียว่าจะฝ่าฟันภาวะที่เป็นรองไปได้อย่างไร และความสามารถในทางปฎิบัติ ก่อนจะไปไล่เบี้ยลูกน้อง จงไล่เบี้ยตัวเองก่อน กฎเหล็กคือให้หาทางแก้ไขให้ได้ก่อนแล้วค่อยจึงไล่เบี้ยคนอื่น
58.หัวหน้าอย่างคุณจงลงมือ ปรับปรุงบริษัทที่หมดสภาพเดี๋ยวนี้
ผมเคยไปเยือนบริษัทที่กำลังฟื้นฟูจากการขาดทุน และได้สัมผัสถึงความรู้สึกเกียดชังชนิดพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ในตึกสำนักงานถึงแม้จะมีคนอยู่ แต่กลับไม่รู้สึกว่ามีคนเลย เหมือนกับเดินเข้าไปในบ้านผีสิงอย่างไรอย่างนั้น ถ้ามีเสียงถกเถียงกันไปทั่วหรือมีคำพิพากษ์วิจารณ์บ้าง ตัวผมที่เข้าฟื้นฟูกิจการก็ยังพอรู้สึกดี เพราะนั่นแสดงว่าพนักงานยังมีเรี่ยวแรงกันอยู่ บริษัทแบบนั้นยังมีกำลังที่จะพูดจาถกเถียงชวนทะเลาะกัน คู่ทะเลาะนั้นยังเข้าใจกันและพร้อมจะเดินหน้าฟื้นฟูบริษัทต่อไป
แต่สำหรับบริษัทที่เหล่าพนักงานหมดไฟแล้ว ต้นตอของปัญหาก็หนักหน่วงและต้องใช้เวลาในการแก้ไข
ลักษณะเด่นของบริษัทที่หมดไฟมีอยู่ 4 ข้อหลัก ข้อแรก คือ ไม่หาสาเหตุของปัญหา เพิกเฉยจนสถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น การมีหนี้สูญหรือการสะสมสต๊อกของเสียคือตัวอย่างที่ชัดเจนของกรณีดังกล่าว ข้อ 2 คือมีพนักงานจำนวนมากที่ขาดความทะเยอทะยาน นั่นแสดงว่ามีพนักงานที่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา และเกาะบริษัทเพื่อกินเงินเดือนอยู่มากไม่ว่ายอดขายจะตกซักแค่ไหนก็คิดว่า ธุรกิจไม่ใช่ คนไร้ความรับผิดชอบ คิดแต่ว่า ถ้ามาบริษัทก็จะได้รับเงินเดือนอยู่เป็นจำนวนมาก
ข้อ 3 คือพนักงานเหล่านี้คอยถ่วงพนักงานที่ตั้งใทำงาน พลังของความเฉื่อยชานี้รุนแรงและร้ายกาจอย่างไม่น่าเชื่อ และข้อ 4 คือบริษัทแบบนี้ร้อยทั้งร้อยมีการถ่ายเทข้อมูลที่ไม่ดี ไม่มีการให้ข้อมูลความต้องการของตลาดหรือความคลื่นไหวของบริษัทอื่นจากฝ่ายขาย ส่วนฝ่ายการตลาดก็ไม่สนใจการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือโรงงานผลิตเลยซักนิดเดียว แต่ละแผนกต่างคนต่างทำงาน บริษัทโดยรวมจึงทำงานไม่เป็นระบบเลย
เมื่อคุณได้เป็นหัวหน้า จะปล่อยให้แผนกของคุณกลายเป็นแผนกที่หมดไฟแบบนั้นไม่ได้ ขั้นแรกสุดต้องใส่ใจ 4 เรื่องต่อไปนี้
1 ปรับการถ่ายเทข้อมูลในที่ทำงานให้ดีขึ้น
2 ปรังปรุงสำนึกผิดชอบของลูกน้องให้ดีขึ้น (ตอบแทนเมื่อทำดีลงโทษเมื่อทำผิดให้ชัดเจน)
3กำจัดข้อห้ามขององค์กร
4 ทำงานโดยคิดในมุมกลับของผู้บริโภค
พนักงานที่หมดไฟเกิดจากความชินชาและความไม่รับผิดชอบ การกำจัดต้นตอนั้นก่อนคือจุดสำคัญในการปฎิรูปองค์กร
59.สาเหตุ 6 ข้อท่ทำให้ผลประกอบการไม่กระเตื้อง
สาเหตุที่สถานการณ์ของบริษัทวิกฤตขึ้นนั้น แบ่งออกเป็น 6 ข้อ สนใจที่แผนกที่ผลงานไม่ไม่คืบหน้าก็เป็นเช่นเดียวกัน ถ้าแผนกของคุณมีสัญญาณ 6 ข้อต่อไปนี้ ระวังให้ดี
1 อยู่ไปวันๆ
(ไร้จุดหมาย)
2 ไม่รู้สึกความเฉื่อยชา
(ตกตะกอน)
3 ไม่ไวต่อสิ่งเน่าเสีย
(contaminayion=มีสิ่งปนเปื้อน)
4 ปล่อยตามยถากรรม
(การควบคุมและกฎระเบียบไม่ใช้ไม่ได้ผล)
5 อ่านเกมผิด
(คาดการณ์ผิดพลาด)
6 แสดงความคิดสร้างสรรค์ไม่เป็น
(ไม่รับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง)
ว่าอย่างไรล่ะ ทั้งหมดนี้เป็นความรับผิดชอบของหัวหน้า ถ้ามีสัญญาณอย่างนี้เมื่อไร จงรีบจัดการโดยเร็ว
60.ทำให้ดูพูดให้ฟังลองให้ทำต้องชม คนถึงจะทำงาน
ข้อความข้างต้นเป็นคำพูดของโยชัน อุเอะชุงิ ผู้ครองเขตโยะเนะงิวะในสมัยเอโดะ โยชันได้สร้างเศรษฐกิจขึ้นใหม่จากความยากจน เปรียบเหมือนกีบรุ่นพี่ในสายงานคนหนึ่งของผม ซึ่งฟื้นฟูกิจการได้ลุล่วงแบบสมัยเอโดะ คำพูดที่โยชันได้ฝากเอาไว้นั้น เรียบง่ายแต่อัดแน่นไปด้วยความรู้เชิงปฎิบัติในการใช้คนทำงาน โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่ว่า “ต้องชม”ว่ากันว่า เป็นคำพูดที่เสริมโดยอิโชะโระกุ ยะมะโมะโตะ ผู้บัญชาการกองทัพเรือผสม แห่งกองทัพเรือจักรพรรดินาวีแห่งญี่ปุ่น ซึ่งข้อนี้เป็นสิ่งที่ถูกมักละเลย แต่นี่เป็นเคล็ดลับการใช้คนให้ทำงานอย่างชาญฉลาด
ลองคิดตามดูเถิดว่า ถ้าแค่คำสั่งให้ หรือแค่พูดให้ฟังอย่างเดียว หลังจากนั้นความรู้สึกของลูกน้องจะเป็นอย่างไร ศักดิ์สรีของมนุษย์เป็นสิ่งที่บอบบาง ไม่ว่าคุณจะพูดมีเหตุผลสักแค่ไหน แต่ศักดิ์ศรีของพวกเขาอาจไม่ได้สูงอย่างที่หัวหน้าคิด ดังนั้น คำพูดที่ช่วยกระดับความภาคภูมิใจของลูกน้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ จากประสบการณ์ตรง ผมคิดว่าการชมเชยมากกว่าการตำหนิสัก 3 เท่า เป็นสัดส่วนที่กำลังดี
61.สิ่งที่สร้างอำนาจจูงใจคือการทำตามที่พูด
ในบริษัทมักมีเรื่องประหลาดๆ เช่น หัวหน้างานที่ชอบวิจารณ์เจ้านายและทำงานหยาบๆ แต่พนักงานที่เขาดูแลอยู่กลับมีผมงานดีขึ้นอย่างสม่ำเสอมตรงกันข้ามกับหัวหน้างานที่ชอบฟังความคิดเห็นของเจ้านายและทำงานอย่างจริงจัง แต่ผลงานกลับค่อยๆตกฮวบลงไป
เมื่อสังเกตุจากท่าทีของลูกน้องในแต่ละแผนกก็จะเข้าใจเหตุผลลูกน้องของหัวหน้าคนแรกดูมีชีวิตชีวาขณะที่ลูกน้องของหัวหน้าคนหลังดูเฉยเมย
ความแตกต่างนี้มาจากอำนาจในการจูงใจของหัวหน้า หัวหน้าคนที่ทำผลงานดีขึ้นนั้นปฎิบัติต่อเจ้านายกับลูกน้องอย่างเปิดใจและเท่าเทียมส่วนหัวหน้าที่มีลูกน้องเย็นชา ท่าทีของเจาจะเปลี่ยนไปตามคำพูดของเจ้านายในแต่ละครั้ง ทำให้คำพูดกับการกระทำไม่ไปในทางเดียวกันจึงไม่ได้รับความไว้วางใจจากลูกน้องแม้แต่น้อง
หัวหน้าที่มีข้อเสียอยู่บ้างแต่ลูกน้องไว้ใจ สามารถสร้างพลังให้หัวหน่วยงานได้มากกว่าหัวหน้าที่ความรู้ดีและฉลาด แต่ลูกน้องไม่อยากพึ่งพา
ดังนั้น อย่ารับปากเจ้านายโดยไม่คิดถึงความเป็นไปได้ แต่ควร ทำในสิ่งที่พูด จะทำให้เกิดความเชื่อใจทั้งจากเจ้านายและลูกน้อง
ถึงกระนั้น ถ้าผมเป็นเจ้านายก็ยังคาดหวังให้หัวหน้าที่ดีพยายามขยับตัวเองขึ้นอีก 1 ขั้ข เมื่อบุคลากรเช่นนี้มีความสามารถสูงขึ้นอีก จะทำให้ความสามารถของลูกน้องสูงขึ้นในเวลาไม่นาน
อำนาจจูงใจนี้เป็นดาบสองคมสำหรับผู้บริหาร ถ้าพลาดไปแค่ก้าวเดียวก็จะกลายเป็นการห่วงแต่ประโยชน์ของแผนกอย่างเดียว จนปิดเรื่องเสื่อมเสียหรือด้านลบภายในแผนก เท่าที่เห็นคือ หัวหน้าที่เป็น คนใจใหญ่ โดยมากจะเป็นคนที่มีลักษณะดังกล่าว
62.คุณมีความสามารถในการแปลคำสั่งของเจ้านายให้ลูกน้องเข้าใจ อย่างเป็นรูปธรรมหรือไม่
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนผมเข้าไปทำงานในบริษัทที่กำลังฟื้นฟูกิจการแห่งหนึ่ง ผมสั่งให้หัวหน้าฝ่ายขาย ลดค่าใช้จ่ายลง 30%
ผ่านไปซักระยะหนึ่ง บังเอิญเดินไปเจอหัวหน้าแผนกที่เป็นลูกน้องของหัวหน้าฝ่ายขาย จึงถามดูเฉยๆว่า
เรื่องลดค่าใช้จ่าย 30% ไปถึงไหนแล้ว
เขาตอบว่า “เอ่อ ทุกคนก็พยายาม ลดค่าใช้จ่าย 30% ตามที่ตกลงเอาไว้นะครับ
พอถามว่า แล้วใช้วิธีการอะไร บองยกตัวอย่างให้ฟังหน่อยสิ
เขาก็ตองกล่อมแกล้งว่า ก็หัวหน้าแค่บอกว่าให้ลดค่าใช้จ่ายลง 30% นะครับ
ความสามารถที่ขาดไมได้สำหรับผู้บริหารที่ต้องประสานงานคือ ความสามารถในการแปลคำสั่งของเจ้านายให้ลูกน้องเข้าใจอย่างเป็นรูปธรรม ในกรณีนี้ หัวหน้าฝ่ายต้องกำหนดแนวทางว่า การคงกำไรเอาไว้ ในขณะที่ลดค่าใช้จ่ายลง มีอะไรที่ต้องตัดและคงไว้บ้าง ในขณะเดียวกัน หัวหน้าแผนกก็ต้องแปลแนวทางที่ว่าออกมาเป็นรูปธรรมเพื่อถ่ายทอดให้ลูกน้องเข้าใจง่าย
ถ้าเจ้านายสั่งว่า “ทำกำไรให้ได้” แล้วแค่ไปสั่งลูกน้องที่เพิ่งทำงานมา เพียงสองสามปีว่า “ทำกำไรให้ได้” แล้วมีกำไรขึ้นมาง่ายๆ เรื่องแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น ถ้าทำกำไรด้วยวิธีนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องมีหัวหน้าตั้งแต่แรก
การแปลคำสั่งจากเจ้านายให้เป็นรูปธรรมคือหน้าที่ของหัวหน้า ดังนั้น ผู้บรหารที่ต้องประสานงานจะเป็นแค่คนส่งข่าวไม่ได้
เรื่องนี้แม้แต่หัวหน้าระดับท้ายแถว ถ้ามีตำแหน่งพ่วงคำว่า “หัวหน้า” อยู่ด้วย ก็มีหน้าที่ต้องย่อยคสั่งจากเบื้องบน และทำให้ลูกน้องสามารถปฎิบัติอย่างเป็นรูปธรรมได้
63.คำสั่งที่ดีไม่ต้องจดบันทึก
เรื่องนี้เกิดขึ้นในบริษัทของคนรู้จัก หลังจากมีคำสั่งให้แม่นส่วนแบ่งทางการตลาดจากบริษัทคู่แข่งให้ได้ หัวหน้าฝ่ายขายทีม 1 และ 2 ได้ใช้วิธีปลุกเร้าลูกน้องด้ยวิธีแตกต่างกันสิ้นเชิง
หัวหน้าฝ่ายทีม 1 .ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการนำเสนอข้อมูลนับไม่ถ้วนเพื่ออธิบายแผนงาน
ขณะที่คำประกาศของหัวหน้าฝ่ายขายทีม 2 มีความยาวเพียง 1 นาที ใจความว่า คราวนี้เราจะใช้ยุทการโอเทลโล กัน ขอให้พลิกส่วนแบ่งการตลาดคู่แข่งในพื้นที่มาเป็นของเราให้หมด ช่วยกันหน่อยนะ เป็นคำชี้แจงท่ไม่จำเป็นต้องจดบันทึกเลย
หลังจากนั้น 2 เดือน ฝ่ายขายที่แย่งส่วนแบ่งทางการตลาดมาได้คือทีม 2 นับเป็นตัวอย่างที่ดีของข้อความที่เรียบง่ายแต่สื่อความหมายได้ดี
การธิบายที่ยืดยาวจะทำให้ความสำคัญถูกบดบบัง แผนการทำงานควรมีขนาดเท่ากระดาษ A4 หนึ่งแผน ส่วนเรื่องแจ้งให้ทราบอย่างมากที่สุดก็ควรจบภายใน 3 นาที คนที่เก่ง จริงต้องถ่ายทอดเรื่องยากด้วยคำพูดง่ายๆได้
ขอให้ผู้อ่านพัฒนาความสามารถและสามัญสำนึกในเรื่องนี้ด้วย
64.ความสุขไม่เคยเดินหน้ามาหาใคร
เรามักได้ยินบ่อยๆว่า “ไม่มีนักตกปลาคนไหนที่เก่งโดยไม่ขยัน” การตกปลานั้นดูเผินๆเหมือนแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ว่ากันว่านักตกปลาฝีมือดีต้องตัดสินใจว่าจะหย่อนเบ็ดลงตรงไหน เหยื่อล่อแค่นี้พอหรือไม่ ต้องใช้เบ็ดอยู่เหนือก้นบ่อแค่ไหน และต้องคิดถึงอุณภูมิน้ำและสภาพอากาศอยู่เสมอ คุณรู้สึกว่าการตกปลามีบางสิ่งคล้ายการทำงานบ้างไหมล่ะ
ในกลุ่มคนที่กำลังนั่งทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์เหมือนกัน มีทั้งคนที่นั่งมองหน้าจอโดยไม่ได้ทำอะไร กับคนที่ทบทวนแผนงานอยู่เสมอว่าเครื่องมือส่งเสริมการขายใช้ได้หรือยัง ตั้งราคาเท่านี้ดีแล้วหรือ ระดับชั้นของกลุ่มเป้าหมายเหมาะสมหรือไม่ ความคลื่นไหวของตลาดเป็นอย่างไร อันที่จริง คนที่มีฝีมือในการตกปลาก็มีความสามารถในการจัดการให้บรรลุเป้าหมายเหมือนกัน เช่น แม้จะมีวันหยุดเพียงระยะสั้นๆ แต่ก็ถ่อไปถึงเกาะห่างไกลเพื่อตกปลาตัวโต อีกทั้งเมื่อไปแล้วดูท่าว่าจะตกไม่ได้ก็กล้าที่จะย้าายไปหาจุดใหม่
ผลงานจะเป็นของคนที่คิดและลงมือทำเท่านั้น การคิดแผนงานจากข้อมูลรอบตัว มีความมั่นใจและกล้าลงมือทำ อย่างนี้ละถึงจะเรียกว่าคนมีฝีมือ
65.วิธีคิดของคนอยู่รอดแนวปฎิบัติ 10 ประการ ที่ผมใช้ในการฟื้นฟูบริษัทขาดทุ
  1. อย่าหนีจงเดินหน้าสู้
  2. จงรับผิดชอบหน้าที่ด้วยกายและใจอย่างเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ
  3. จงหาสาเหตุของความผิดพลาดอย่างละเอียด
  4. ความแตกต่างระหว่างที่ 1 กับที่ 2 คือ ไม่มีอะไรเล็ดลอดสายตาของที่ 1 ไปได้แม้แต่นิดเดียว
  5. อย่ากลัวความผิดพลาดเด็ดขาด
  6. จงมีความกล้าที่จะใช้ความผิดพลาดเป็นกำลังหล่อเลี้ยง
  7. อย่าแพ้แล้วเลิก ให้สู้ต่อไปจนกว่าชนะ
  8. อย่าหยุดคิด
  9. คิดให้ลึก
  10. จงเข้มงวดกับตัวเองเพื่อความอยู่รอด
Comments