33.ถ้าอยากให้คนทำงานจงรู้จักใช้คำพูด เวลาที่คุณทำงานพลาด ระหว่างถูกดุว่า “ทำอะไรลงไปเนี่ย ว่าแล้วคุณมันไม่ได้เรื่อง”อย่างไม่ฟังเสียง กับถูกพูดว่า “พลาดแบบนี้มันไม่สมกับเป็นคุณเลยนะว่าไหม” คุณคิดว่าแบบไหนจะรักษาแรงจูงใจไว้ได้มากกว่ากัน คงไม่มีใครบอกว่า “ผมคิดว่าแบบแรกทำให้อยากให้ฮึดสู้มากกว่า” เป็นแน่นอน สิ่งต่างๆสามารถปรับเปลี่ยนไปได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ เวลาคุณจะพูดอะไรซักอย่าง ถ้าทำให้ลูกน้องหมดแรงจูงใจแล้ว สุดท้ายคนที่ตกที่นั่งลำบากคือตัวคุณเอง ดังนั้น เมื่ออยู่ในฐานะผู้นำที่ใช้คนให้ทำงาน ยิ่งต้องระวังการใช้คำพูดมากขึ้น แต่กระนั้นเวลาที่โกรธ ถ้าไม่แสดงออกให้รู้บ้างว่าโกรธ ลูกน้องก็จะไม่ตั้งใจทำงานกุญแจสำคัญคือ “คำพูดให้กำลังใจ” ดังกล่าวที่ไว้ในตอนแรกว่าจำเป็นต้องรักษาน้ำใจไม่ให้คนที่ถูกดุสึกเสียศักดิ์ศรี หรือหลังจากดุว่าแล้วในวันรุ่งขึ้น จงมอบหมายงานอื่นพร้อมกับกำชับว่า “นี่เป็นงานสำคัญเลยต้องให้คุณทำ” เพื่อให้จบเรื่องราวครั้งที่แล้ว และเป็นการถนอมน้ำใจของลูกน้องด้วย 34.ตำหนิจริงจังชื่นชมต้องจริงใจ คนที่เคยถูกผมดุ จะพูดไปยิ้มว่า “ตอนนั้นกลัวมากจนไม่อยากจะนึกถึงด้วยซ้ำ” สำหรับคนที่โดนดุแล้วคงรู้สึกว่าเป็นการดุที่รุนแรงชนิดจำฝังใจ จึงรู้สึกสำนึกผิดได้ เวลาที่ผมดุจะจริงจังและแสดงความรู้สึกอย่างชัดเจนแต่ถูกน้องที่เคยถูกดุมาก่อนยังสามารถพูดถึงเหตุการณ์นั้นด้วยรอยยิ้มต่อหน้าผมได้ อาจเป็นเพราะหลังจากการดุแล้ว ผมพยายามมองหาข้อดีในตัวคนคนนั้น แล้วชมเชยเป็น 2 เท่า เวลาที่ผมดุ ผมก็ชมเชยอย่างจริงใจ สิ่งที่ไม่รู้สึกจะพูดไม่เด็ดขาด เมื่อใดที่รู้สึกชื่นชมก็พยายามชมด้วยคำพูดที่ไม่ได้ปรุงแต่ง เพราะคำชมที่ไม่ได้ออกจากใจจะทำให้ผู้ฟังแปลเจตนาผิดไป “จะหลอกเอาใจเราละสิ” ไปก็ได้ ไม่ว่าจะตำหนิหรือชมเชยก็ล้วนต้องจริงใจ สิ่งนี้จะเป็นเคล็ดลับในการผูกใจคนได้ 35.อย่าคร่ำครวญเมื่อโชคร้ายอย่าเริงใจเมื่อโชคดี “โชคชะตา” เป็นสิ่งที่น่ากลัว บางครั้งงานที่อุส่าห์เตรียมการมาอย่างดีกลับต้องมาล้มเหลวเพราะเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ในทางกลับกันก็มีเรื่องที่ดูอย่างไรว่าทำสำเร็จเพราะโชคร้าย เกิดขึ้นได้ง่ายๆเหมือนกัน แต่เรื่องราวเช่นนี้ยังไม่ใช่ความน่ากลัวที่แท้จริงของโชคชะตา ความน่ากลัวที่แท้จริงของโชคชะตาคือ การที่เข้าใจผิดว่าผลงานที่ได้มาเพราะโชคช่วยเป็นฝีมือของตัวเองหรือในทางกลับกัน หมายความว่า คนที่ทุกข์ทรมานเพราะโชคร้ายก็จะเสียความมั่นใจห่อเหี่ยว จากนั้นก็กลายเป็นภาพลักษณ์ในสายตาคนรอบข้างอย่างไม่ได้ตั้งใจว่าเป็น “พวกขี้แพ้” ไปในที่สุด ดังนั้น เราไม่มีเวลามานั่งโอดครวญถึงโชคร้ายแม้จะเป็นเรื่องยากมาก แต่เราก็ต้องปรับเปลี่ยนความรู้สึกให้ไดว่า ความผิดพลาดไม่ได้เกิดเพราะโชคร้ายิแต่เป็นเพราะความสามารถของเรามากกว่า แล้วให้กำลังใจตัวเองในการทำงาน อย่างไรก็ตาม การมีโชคช่วยก็ยังดีกว่าไม่มี แต่ถ้าเข้าใจผิดว่าความสำเร็จได้มาด้วยตัวเอง จนบางคนนึกลำพองใจหรือบางคนเป็ฯคนโชคดีมีดวงอุปถัมภ์มาตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้พัฒนาความสามารถอย่างเต็มที่ จนต้องนึกเสียใจในบั้นปลายชีวิต อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ที่เกิดจากโชคชะตา ถ้าไม่ส่งผลต่อเนื่องไปถึงงานชิ้นต่อไป ก็จำเป็นต้องพิจารณาในรายละเอียด คนที่คุยโวว่า “การมีโชคช่วยเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง” ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าใด ก็ไม่มีทางเกิดความสามารถอย่างแท้จริงได้ 36.เอาใจใส่ต่อกระบวนการอย่างสม่ำเสมอจะได้เห็นความสามารถที่แท้จริง ความมีโชคหรือไม่มีโชคทางธุรกิจนั้น ไม่ได้มาให้เป็นรูปธรรมเสมอไป ส่วนใหญ่จะส่งผลต่อปัจจัยที่เล็กน้อยมากจนเจ้าตัวไม่ทันสังเกต ยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนมาก เป็นเรื่องที่ผมประสบมาเช่น ลูกค้าบางคนนึกครื้มสั่งสินค้ามาตั้งมากมาย เพราะวันก่อนทีมเบสบอลโปรดเพิ่งชนะ หรือบังเอิญคนที่ติดต่องานด้วยของบริษัทคู่แข่งเกิดมีงานด่วนจึงไม่อยุ่ที่โต๊ะเป็นพักๆ จนทำให้เขาเปลี่ยนมาติดต่อเรา ดังนั้น คนที่ทำธุรกิจ นอกจากความเอาใจใส่ต่อผลลัพธ์แล้ว ต้องเอาใจใส่ต่อกระบวนการด้วย ถ้าตอนนี้ธุรกิจกำลังไปได้ดี อาจเป็นแค่ดโชคดีไหลมาเทมาก็ได้แต่ถ้าไม่สนใจในกระบวนการก็มักมั่นใจเกินไปว่า “ผลงานออกมาดี เป็นเพราะฝีมือล้วนๆ” สำหรับโปรกอล์ฟแล้ว เวลาที่รู้สึกตีลูกได้ยอกเยี่ยมแต่ไม่ลงหลุม ก็จะเรียกสติตัวเองด้วยการพูด “ไม้กอล์ฟนี่มันประหลาดดีแท้” การเรียกสตินี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อเราจดจ่ออยู่กับฟอร์มการเล่นของตัวเองอยู่เสมอและมีขั้นตอนที่ถูกต้อง สิ่งสำคัญไม่ใช่คะแนนในการเล่น แต่เป็นแบบฟอร์มการเล่นที่ถูกต้องตามพื้นฐานต่างหาก 37.อย่าตั้งเป้าหมายที่ตำแหน่งให้ตั้งเป้าหมายที่ความสำเร็จ นักธุรกิจย่อมมีเป้าหมายที่ความก้าวหน้า การพยายามเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีขึ้นการใช้ตำแหน่งเป็นแรงจูงใจนั้นไม่ได้สร้างปัญหาอะไรแต่ถึงการกระนั้นคนที่มุ่งหวังแต่ตำแหน่งก็เป็นคนที่มีปัญหา เพราะเป็นที่หมกมุ่นครุ่นคิแต่จะเอาตำแหน่ง โดยไม่มีความตั้งใจอยากทำงานให้สำเร็จ และไม่รู้สึกผิดที่กำจัดคนอื่นออกไปให้พ้นทางนับเป็นบุคลอันตราย ความจริง ยิ่งบริษัทมีผลกระทบการแย่เท่าไหร่ ยิ่งมีผลต่อความรู้สึกของคนพวกนี้ คนที่ใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้ตำแหน่งเมื่อถึงเป้าหมายแล้ว ก็จะเกาะไม่ยอมปล่อย คิดแต่จะปกป้องตัวเองและไม่อยากเปลืองแรงช่วนบริษัททำงานใหญ่ไม่สำเร็จ เอาแต่คอยเกาะบริษัทกิน ดังนั้น บริษัทที่มีคนแบบนี้อยู่ในตำแหน่งสูงจึงไม่พัฒนาด้วยเหตุผลที่ได้อธบายอยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว พิษภัยไม่ได้อยู่แค่นั้น ความจริงเป้าหมายที่คนพวกนี้ต้องการกำจัดออกไปคือคนที่ทำงานเก่งๆเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ เพราะคนเก่งๆ จะถูกกลั่นแกล้งบ้าง ถูกบีบจนจำใจลาออกไปบ้าง คนพวกนี้เป็นอย่างไปไม่ได้นอกจากเนื้อร้ายขององค์กร 38.คนที่โกหกกับคนที่ถูกหลอกผิดทั้งคู่ ดังนั้น ต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่เอื้อต่อการโกหก มนุษย์เรามีนิสัยอย่างหนึ่งคือ เมื่อเข้าตาจนแล้วจะหกเพื่อเอาตัวรอด แม้แต่กับผู้มีบุญคุณต่อตัวเองก็ยังโกหกได้อย่างไม่ละอายหลังจากผมคร่ำหวอดอยู่ในวงการธุรกิจมากว่า50 ปีบางครั้งก็มีเหตุการณ์หักหลังกันอย่างไม่น่าเชื่อ และไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้ง ตอนที่ผมคร่ำครวญว่าถูกบริษัทคู่ค้าหลอก รุ่นพี่คนหนึ่งได้พูดคำหนึ่งที่ทำให้ผลรู้สึกประหลาดใจว่า “คนที่หลอกเขากับคนที่ถูกเขาหลอกต่างก็ผิดด้วยกันทั้งคู่” ตั้งแต่นั้นมาผมจึงพยายามทำ 2 สิ่งต่อไปนี้ 1สร้างระบบที่ทำให้โกหกไม่ได้ 2สร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคลให้โกหกไม่ได้ คือไม่ใช่แค่สัญญาปากเปล่า แต่ต้องเขียนข้อตกลงไว้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนแม้ต้องเสียเวลาซักหน่อย เพื่อทำทีให้เห็นว่า “ถ้าคิดจะเบี้ยวคนแบบผมละก็ ระวังให้ดี” เมื่อทำเช่นนั้นก็ได้ผลน่าพอใจว่า การทำงานตามขั้นตอนอย่างถูกต้องช่วนกำจัดการโกหกไปโดยปริยาย วิธีนี้คนรุ่นก่อนคิดเอาไว้เพื่อป้องกันการถูกหลอก ถ้าลองคิดดูจะรู้ว่าเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยากอะไรเลย 39.จงเป็นคนที่คนอื่นต้องพูดว่า “ถ้าคุณพูด ผมก็คงต้องฟังสักหน่อย” สมบัติล้ำค่าที่สุดสำหรับนักธุรกิจแต่ละคนคือ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ถ้าลองคิดดูว่าอะไรคือคุณสมบัติจำเป็นในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจก็สรุปลงตัวที่คำว่า “เสน่ห์ในความเป็นมนุษย์” ลองพิจารณาดูในบริษัทของคุณเสียหน่อย มีคนที่คุณรู้สึกว่า ไม่ว่าจะวาดโครงการสวยหรูขนาดไหน แต่ “แผนอะไรที่คนคนนี้เขียน มันไม่น่าไว้ใจยังไงก็ไม่รู้” หรือ “ทุกอย่างดูเหมือนถูกต้องดี แต่ไม่ค่อยอยากทำตามที่คนคนนั้นเสนอเลย” อยู่รอบตัวใช่หรือป่าว คนพวกนี้จะปิดบังข้อมูล(ในระดับที่ไม่ถึงเรียกได้ว่าเป็นการโกหก)หรือไม่ก็มีลับลมคมใน ขุดคุ้ยความผิดของคนอื่น เป็นคนที่ขาดความจริงใจไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ก็อย่างนั้น ทำอย่างไรจึงจะสร้างความไว้วางใจกันได้ คงทำได้แค่โดยปกติให้ตั้งใจฟังคนอื่นพูดอย่างใส่ใจ และปฎิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงเท่านั้น ส่วนเทคนิคกลโกงเล็กๆน้อยๆ ถึงอีกฝ่ายจะมองไม่ออกทั้งหมด แต่ความจริงเขาต้อง “รู้สึกได้” อย่างแน่นอน 40.เคล็ดลับกระตุ้นให้คนทำงาน 5 ข้อ ทุกครั้งที่ผมเริ่มเข้าไปฟื้นฟูกิจการบริษัทใดๆก็ตามเป็นวันแรกเมื่อต้องขึ้นกล่าวต่อหน้าพนักงานทั้งบริษัท ผมจะให้ความสำคัญกับหลักการ 5 ข้อต่อไปนี้เสมอ 1.ยกตัวอย่างที่เข้าใจง่าย 2.เปลี่ยนแปลงเป้าหมายใหม่ 3.อธิบายเป้าหมายใหม่ให้เข้าใจ 4.ทำให้ทุกคนมีเป้าหมายใหม่ร่วมกัน 5.ทำให้ทุกคนมีความคิดอ่านตรงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าพนักงานทั้งบริษัท การพูดถึง “เป้าหมาย” ของบริษัทอย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญ 41.Judgment(การวินิจฉัย)ต้องละเอียดDecision(การตัดสินใจ)ต้องทันท่วงที เป็นเวลา 40 ปี นับตั้งแต่ผมอยู่ในช่วงวัย 20 ผมมีทฤษฎีที่ได้จากประสบการณ์ในบริษัทข้ามชาติที่มีสาขาในหลายประเทศ จึงเห็นว่าข้อเสียข้อใหญ่ของสังคมญี่ปุ่น น่าจะเป็นการเริ่มต้นทำอะไรบนความสับสนระหว่าง “การวินิจฉัย” กับ “การตักสินใจ” เพราะถ้าเราแยกแยะ 2 สิ่งนี้ให้ชัดเจนได้ ธุรกิจก็จะเดินหน้าอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในภาษาอังกฤษ มีการแยกความหมายของคำว่า “Judgment(การวินิจฉัย)” กับ “Decision(การตัดสินใจ)” ไว้อย่างชัดเจนคำว่า Judgment หมายถึง การพิจจารณาข้อมูลให้เพียงพอและหาคำตอบที่ถูกต้อง ส่วนคำว่า Decision หมายถึง การตัดสินใจเลือกเอาทางใดทางหนึ่งโดยอ้างอิงจากผลการพิจารณา ผมคิดว่า เหตุผลที่กลยุทธ์ของนักธุรกิจชาวตะวันตกมีความเป็นเหตุเป็นผลและละเอียดรอบคอบ เป็นเพราะมีโครงสร้างขั้นตอน 2 อย่างนี้ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมของเขา เมื่อได้อยู่ตรงกลางระหว่างสังคมหลากหลายวัฒธรรม ก็ยิ่งรู้สึกเช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ กลับมามองที่ญี่ปุ่นล่ะเป็นอย่างไร ให้เป็นจริง คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้คำว่า “ตัดสินใจ” ในชีวิตประจำวันมากเท่าไร ซึ่งแสดงว่านักธุรกิจชาวญี่ปุ่นไม่มีความคิดตรงกับการ December นั่นเอง เพราะเหตุนี้บริษัทของญี่ปุ่นจึงไม่ยอมเสียเวลาคิดพิจารณา แต่ไปสับสนในการตัดสินใจแทนกรณีดังกล่าวมีให้เห็นอยู่เป็นประจำ และการประชุมของคนญี่ปุ่นที่ใช้เวลายืดยาวก็คือตัวอย่างของเรื่องนี้ สาเหตุคือการพยายามตัดสินใจโดยยังพิจารณาไม่ละเอียดเพียงพอยิ่งไปกว่านั้น การตัดสินใจที่มาจากการพิจารณาแบบหละหลวม ทำให้มีความเป็นไปได้ที่การตัดสินใจนั้นจะไม่ถูกต้องสูงยิ่งขึ้น เรามักได้ยินสำนวน “มากหมอกมากความ” อยู่บ่อยๆ สำหรับคนญี่ปุ่นเรื่องที่คล้ายกับสำนวนนี้ก็ยังเกิดอยู่ภายในตัวคนเดียวกันอีกด้วย สำหรับผม คิดว่าเมื่อตัดสินใจอะไร การใช้เวลาเพียงหนึ่งนาที ก็ถือว่ามากเกินไปแล้ว เมื่อใดที่มีท่าว่าต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน แสดงว่ายังพิจารณาไม่เพียงพอ ดังนั้น ผมจึงตั้งกฎส่วนตัวไว้ว่า การพิจารณาควรเป็นไปอย่างละเอียดรอบคอบที่สุด 42.วิ่งจนเกือบจะล้มนั่นละทำให้วิ่งเร็ว ประโยคข้างต้นเป็นคำพูดของ ได ทะเมะชุเอะ เจ้าของเหรียญทองแดงในกีฬาวิ่งข้ามรั้ว 400 เมตร จากสนามกรีฑาเวิลด์แชมเปียนชิป ซึ่งอธิบายเทคนิคการวิ่งให้เร็วว่า เวลาวิ่งให้โน้มตัวไปข้างหน้าให้ต่ำที่สุด และพยายามรักษาสมดุลร่างกายเอาไว้ให้ดี วิธีนี้น่าจะนำไปใช้กับการเตรียมพร้อมในการทำงานได้ คือให้พุ่งเป้าความสนใจไปข้างหน้าโดยไม่กลัวว่าจะผิดพลาด หรือพูดง่ายๆ คือการทำงานโดยไม่กลับหลังหัน การทำเช่นนี้จะทำให้มุ่งความสนใจไปที่เป้าหมายเท่านั้น และมุ่งทำงานด้วยความมานะเพียงอย่างเดียว จากนั้นให้ลองขยับเป้าหมายของงานข้ามขีดจำกัดที่ตัวเองวางไว้ ทำเช่นนี้แล้วความสามารถในการจัดการจะค่อยๆสูงขึ้น ซึ้งทำได้จริง ขณะที่ผมกำลังฟื้นฟูกิจการ จะตั้งเป้าหมายไว้ที่ 100% เมื่อทำตามนั้นก็แน่นอนว่าเกินขีดจำกัดของตัวเอง จึงจำต้องทำงานหนักเกินปกติ แต่เข้มงวดนี้เองที่ช่วยให้ความสามารถในการทำงานสูงขึ้นกว่าเดิมและทำเรื่องเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ 43.ถึงมีคนเกลียดก็ช่างจงเป็นคนที่พึ่งพาได้ หากถามพวกทหารว่า “ถ้าเอาตัวรอดในสนามรบ ระหว่างนายพลใจดีกับนายนายพลที่เข้มงวด จะเลือกใคร” เกือบร้อยทั้งร้อยจะเลือกหัวหน้าที่เข้มงวด ในศึกที่กำลังแพ้ ความเมตตามีมนุษยธรรมเป็นสิ่งที่หาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย แต่ความแม่นยำในการพิจารณาและตัดสินใจที่ถูกต้องในสถานณ์เฉพาะหน้าเป็นสิ่งที่พึ่งพาได้ ดังนั้น ความเมตตา เช่น ไม่อยากเป็นคนเข้มงวดจนลูกน้องเกลียดขี้หน้าไม่มีคนคบ ถ้าลูกน้อยทำผิดเล็กๆน้อยๆหรือทำงานไม่เรียบร้อยบ้างก็เฉยไว้ นั้นไม่มีประโยชน์ ซ้ำร้ายยังจะทำให้ลูกน้องที่เราปราณีรู้สึกว่า “หัวหน้าเราเป็นคนที่กลัวลูกน้องเกลียดเสียจนปล่อยให้ทำเรื่องไม่ถูกไม่ควรได้หน้าตาเฉย ไปเสียอีก แม้แต่งานที่มีเนื้อหาเหมือนกัน ถ้าเปรียบเทียบระหว่างให้คนที่เราชอบและคนที่ไม่สั่งให้ทำ การสั่งงานโดยคนที่เราชอบจะมีแรงจูงใจในการทำงานสูงกว่า การสั่งคนให้ทำงาน ความชอบที่มีต่อตัวคนสั่งเป็นเงื่อนไขสำคัญแต่การสั่งคนให้ทำงานนั้นจงจำใส่ไว้ว่า “ความเชื่อถือพึ่งพาได้คือเงื่อนไขสำคัญ”ยิ่งกว่า 44.วิธีทำให้คนที่ไม่มีความกระตือรือร้นกลับมาทำงานได้ทางเดียวคือ “ความกลัว=การรับรู้ถึงอันตราย” ทุกบริษัทต้องมีคนที่ไม่มีความกระตือรือร้นอยู่ทั้งนั้น การสร้างแรงจูงใจใกห้คนเหล่านี้แม้จะใช้วิธีพูดให้กำลังใจอย่างไรก็มีข้อจำกัด สรุปว่าต้องพึ่งระบบ(วิธีการ) อะไรซักอย่างอยู่ดี แต่ระบบที่ว่านั้นคืออะไรกันล่ะ สำหรับผมขอสรุปว่า ต้องใช้ระบบ “ความกลัว=การรับรู้ถึงอันตราย”เท่านั้น ถ้าให้จินตนาการว่าบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่ต้องเลิกกิจกรรมเพราะเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ตกงาน เคว้งคว้างไร้จุดหมาย รับรองว่าทุกคนต้องรู้สึกว่า “ขืนทำงานชุ่ยๆ แบบนี้ต่อไป มีหวังต้องแย่แน่” องค์กรไม่สามารถเดินหน้าได้ด้วยความหอมหวานเพียงอย่างเดียวแทนที่ผู้บริหารจะมีท่าทางใจดีแต่ตั้งหน้าตั้งตาเขี่ยพนักงานทิ้ง สู้เคี่ยวเข็ญให้ทำงานแล้วได้งานออกมา ผมเชื่อว่าแบบนั้นยังเป็นผู้บริหารที่มีมนุษย์ธรรมมากกว่า 45.เสาะหาข้อดีของตัวเองให้เจอเพื่อเป็น “อาวุธในการเอาตัวรอด” สมัยก่อนมีวิธีเอาตัวรอดในบริษัทอยู่วิธีหนึ่ง สมัยนั้นวิธีทำงานแบบไม่หวังก้าวหน้าอย่างที่เคยได้ยินบ่อยๆ คือ “ไม่ฝืน ไม่พลาด ไม่โดนเด้ง” เป็นวิธีที่เคยใช้ผล แต่ในสภาพเศรษฐกิจตกต่ำที่มีมาจากสาเหตุมาจากการล้มละลายของบริษัทเงินทุนเลห์แมนบราเทอส์ หรือ วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ สภาพจิตใจนั้นคงไม่มีใครเอาตัวรอดได้ ในตอนนี้ สิ่งสำคัญคือความตั้งใจ “เอาตัวรอด” ไม่ว่าจะในระดับบุคล ระดับบริษัท หรือแม้ระดับชาติ หรือถือหลักการวางเฉย ไม่รับรู้ปัญหา ไม่ช่วยให้อยู่รอดได้ โลกเราตอนี้กลายเป็นสังคมที่โหดร้ายไปเสียแล้ว ต้องมองข้อดีและข้อเสียของตนอย่างถ่องแท้ ถ้าไม่ใช้ข้อดีของตัวเองเป็นอาวุะก็ไม่มีทางรอด สังคมนี้ไม่มีที่ว่างพอให้งอมืองอเท้ารอการช่วยเหลือจากคนอื่นอีกแล้ว จงถือไพ่ตายที่ทำให้ไม่ถูกคนอื่นทิ้งไว้ข้างหลัง ถ้าเริ่มจากตรงนั้นก็สามารถพูได้ว่า เตรียมตัวมาดีแล้วเพื่อเอาตัวรอด 46.ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไหร่ยิ่งมองเห็นสิ่งที่เป็ฯไปตามกฎและข้อยกเว้น ความสามารถสุดยอดที่ผมได้จกสมุดบันทึก “เอ๊ะ น่าสนใจ” ที่เริ่มจดบันทึกมาตั้งแต่อายุ 27 ปี อาจเป็น ความสามารถ เข้าใจกฎเกณฑ์ของสถานการณ์ต่างๆ ก็ได้ ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าไปจนหัวถึงหมอน การพกสมุดบันทึกนี้ไว้ไม่ให้ห่างตัวเพื่อจดสะสมข้อมูลที่ได้รับ ข้อสงสัยหรือไอเดียที่แวบขึ้นมาในสมองทำให้อ่านข้อมูลจากภาพรวมและจับประเด็นออกมาเป็นกลุ่มก้อนได้ ซึ่งเป็นผลที่เพิ่มพูนอย่างก้าวกระโดดจากการจดบันทึกข้อมูลที่ได้สัมผัสมาลงในสมุดบันทึกนั่นเอง เมื่อมองดูโดยรอบ เราจะพบคนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยดีๆแม้จะผ่านไป 10 ปี 20 ปี เวลาที่เขาเริ่มทำโครงการของตัวเอง มักหาแต่ข้อมูลที่อ่อนและเป็นข้อมูลที่ตัวเองได้สะเท่านั้น แค่อ่านโครงการพอผ่านตกก็มองว่าสัดส่วนของความสำเร็จจะเป็นอย่างไร สรุปคือไม่ใช่ข้อมูลที่ลงมือลงแรงหามา แต่โครงการที่มาจากการนั่งเทียนเขียนลวกๆ เราควรสัมผัสกับข่าวสารและข้อมูลถึงขั้นท่เรียกว่า “ซึมซาบ” จะทำให้เข้าใจกฎระหว่างเหตุกับผลได้ แต่ความจริงคือ ความเป็นกฎเกณฑ์นี้ ในตอนนี้แรกแม้จะพยายามหาก็ไม่เจอ ต้องใช้ “ประสาทรับรู้ข้อมูล” ที่ช่วยให้เห็นสภาพจากข้อมูลมากมายมหาศาลที่มี และเข้าใจควาสัมพันธ์อย่างเป็นเหตุเป็นผลของเหตุกับผลก็ได้ สิ่งที่นอกเหนือจากประสาทรับรู้ข้อมูลแล้ว ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ความสามารถในการมองออกว่าในสถานการณ์ใดจะเกิด “ข้อยกเว้น” ได้วซึ่งเรียกว่าความสามารถในกรหลบหลีกอันตรายนั่นเอง 47.เอาชนะด้วยการจับตำแหน่งอย่างแม่นยำ ว่ากันว่า ไม่เบสบอลของอิชิโร นักเบสบอลชื่อดัง มีความเรียวบางมากกว่าไม้ของนักกีฬาคนอื่นๆ เขาอธิบายว่า โอกาสที่จะตีถูกลูกมีสูงกว่าเมื่อใช้ไม้ที่อ้วน แตพื้นที่ของแกนกลางของไม้ ไม่ว่าผอมหรืออ้วนก็แทบไม่ต่างกัน ดังนั้น ไม้ที่อ้วนกลับมีสัดส่วนของพื้นที่แกนกลางของไม้ ต่ำกว่า ลูกจึงกระทบกับพื้นที่บิเวณก้ำกึ่งที่ไม่ใช่แกนกลางของไม้ได้ง่ายกว่า ดังนั้น เขาจึงชอบใช้ไม้ผอม ตอนที่ผมได้ยินเรื่องนี้ทางโทรทัศน์ รู้สึกว่า เหมือนการทำธุรกิรกิจในตลาดกลุ่มย่อมเลย พูดง่ายๆ คือ ไม่เบสบอลอ้วนก็เหมือนเงินก้อนใหญ่ ส่วนไม้เบสบอลผอมก็เหมือนเงินทุนน้อยที่สุดที่จำเป็น ถ้าเป็นสมัยก่อน ขอแค่ตีบอลพุ่งไปข้างหน้าได้ก็โอเคแล้ว หลังจากหวดลงสะวิงไปหลายครั้ง ถ้าตีลูกโดนสักหน่อยก้พอทำกำไรได้ แต่สมัยนี้เราคาดหวังให้ตีได้ไกลด้วยต้นทุนต่ำสุดเท่าที่จำเป็นเพราะองค์กรไม่มีแรงพอหวดไม้ที่อ้วนและมีน้ำหนักมากต่อไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ขอให้คิดว่า “ถึงจะใช้ไม้ผอม แต่ความเป็นไปได้ที่จะตี ลูกสวยๆก็ไม่ต่างกัน เพราะขึ้นอยู่กับวิธีการตี ดังนั้น ไม้ผอมไม่ได้ทำให้เสียเปรียบเสมอไป” 48.สังคมแห่งความเสมอภาคที่สอนกันมาขณะเรียนภาคบังคับสำหรัลโลกธุรกิจแล้วเป็นแค่วิมานในอากาศ พูดถึงแก่นแท้ของธุรกิจ ผมอาจใช้คำพูดไม่ถูกมากนัก แต่สาระก็คือ การสร้าง ความแตกต่าง จากคนอื่นนั่นเอง คือการสร้างข้อได้เปรียบจากคนอื่นอยู่เสมอ และทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในระดับบุคลก็เช่นเดียวกันจากความคิดเดิมที่ว่า การบริการของเราอยู่ในระดับเดียวกับคู่แข่งเป็นเรื่องธรรมดา ให้เริ่มคิดหาไอเดียใหม่ๆได้แล้ว อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ในยามเศรษฐกิจตกต่ำ การตลาดจะผูกขาดอยู่กับพ่อค้าเพียงน้อยราย มีบริษัทที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก เช่น การปิดกิจการหรือการควบรวมบริษัทมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นคุณจะอยู่รอดจนถึงที่สุดได้หรือไม่ ข้อแตกต่างที่เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดตือ การมีความรู้เฉพาะทางหรือทักษะเป็นกุญแจในการทำงาน แม้บริษัทจะปิดกิจการไป แต่คนที่มีความพร้อมถึงขั้นกล้าพูดว่า “ผมสามารถไปเจรจาซื้อขายที่เมืองจีนด้วยตัวเอง แล้วจะเอารายการสั่งซื้อกลับมาได้แน่นอน” ย่อมเริ่มต้นงานใหม่ได้แน่ แต่สำหรับคนที่พูดได้แค่ว่า “ผมเคยเป็นประธานของบริษัทที่เจ๋งไปแล้ว” คงต้องทนรับศึกหนักต่อไป ดังนั้นในขณะที่บริษัทยนังอยู่ คุณควรหาความรู้เฉพาะทางที่เป็นเอกลักษณ์ติดตัวไว้ หาจุดแข็งที่ใครๆจะต้องรู้ว่า “เวลาเขาไม่อยู่นี่ พวกเราลำบากจริงๆ” เงื่อนไขอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ได้สำหรับการทำงาน คือความมีมิตรจิตมิตรใจ เช่น เมื่อลูกค้าที่มาบริษัทขณะคุณไม่อยู่ แล้วเขามีแก่ใจอยากถามไถ่ว่า วันนี้คุณคนนั้นไม่อยู่หรือ เวลาที่คุณมาสายสัก 10 นาที เพื่อนร่วมงานรู้สึกเป็นห่วงว่า เป็นอะไรไปหรือเปล่า นั่น คือ ความเป็นคนที่น่ารักใคร่ต่อผู้อื่น ติดตัวเอาไว้ด้วย การศึกษาของญี่ปุ่นในปัจจุบันเป็นแบบสมภาคนิยม ถึงขนาดที่บางโรงเรียนจัดการแข่งวิ่งแบบไม่เอาผลแพ้ชนะกันเลยทีเดียว แต่สำหรับความจริงในโลกธุรกิจ ผลงานทางธุรกิจทั้งหลายต่างถูกจัดอันดับโดยความพึงพอใจว่าสังคมที่ตัวเองอยู่ไร้ความยุติธรรมบ้าง แสดงออกอย่างเกรี้ยวกราดบ้าง จึงไม่มีใครนึกเห็นใจเลยซักคน การพยายามพัฒนาความสามารถของตัวเองอย่างไร้ขีดจำกัด ในโลกธุรกิจจะยกย่องว่า “ทำดี” 49.นักบริหารมือใหม่ทำให้บริษัทเป็นทุกข์ นักธุรกิจทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ผลประกอบการของบริษัทเป็นตัวสะท้อนภาพผู้นำของบริษัทนั้นออกมาอย่างตรงไปตรงมา หมายความว่า โดยมากความสามารถขอ ผู้นำเป็นตัวกำหนดว่าบริษัทจะรุ่งหรือจะร่วง สาเหตุที่ผลประกอบการไม่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะนักบริหารมีความสามารถไม่พอ ก็เป็นเพราะผู้บริหารขาดคุณสมบัติของนักบริหารนั่นเอง ในสมัยที่สภาพแวดล้อมเอื้อต่อการบริหารมือใหม่ก็ยังอยู่รอดได้ แต่หลายไปมานี้ มีแต่นักบริหารมืออาชีพเท่านั้นที่สามารถฝ่าฟันในยุคแห่งความซบเซามาได้ เงื่อนไขสำหรับรักบริหารมืออาชีพมี 4 ข้อ ดังนี้ 1.เป็นคนที่มีความรู้ด้านบริหารมากพอ 2.เป็นคนที่รับฟังได้แม้แต่เรื่องที่ไม่น่าฟัง 3.เป็นคนที่สามารถสร้างแรงผลักดันคนอื่นได้ 4.เป็นคนไม่ละโมบ เงื่อนไขเหล่านี้ ไม่เฉพาะสำหรับนักบริหารเท่านั้น สำหรับการทำธุรกิจในระดับโดยทั่วไปจะเรียกว่าเป็น เงื่อนไขสำหรับการทำงานแบบมืออาชีพ ก็ย่อมได้ อันดับแรก ดูว่าคุณมีความรู้เพียงพอสำหรับการทำงานแล้วหรือยัง อีกทั้งคุณได้รับคำวิพากวิจาณ์แรงๆ และความต้องการของบริษัทไว้ด้วยความจริงใจและตั้งใจต่อยอกอยู่เสมอไป ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้คุณทำให้งานเดินหน้าในฐานะผู้มอบแรงพลัง ทั้งแก่ลูกน้องซึ่งแน่นอนอยู่แล้ว และกระทั่งแก่หัวหน้าคุณอยู่หรือเปล่า และคุณมีความละโมบ เห็นแก่ผลประโยชน์ตรงหน้า หรือเอาผลงานที่ได้หวงไว้เป็นของตัวเองคนเดียวบ้างหรือเปล่า นักธุรกิจมืออาชีพ คือคนที่ตั้งคำถามเหล่านี้กับตัวเองอยู่เป็นประจำ ยุคสมัยของการทำงานตามน้ำกับบริษัทเดียวไปตลอกชีวิต จนถึงจุดปลายทางเข้าสักวันนั้น เป็นอดีตที่ผ่านพ้นไปนานแล้ว สิ่งที่ยุคสมัยนี้ต้องการ คือ ทั้งบริษัทและตัวบุคลต้องมีความตั้งใจฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้ 50.อิสระของคนทำงานมีเพียงเรื่องเดียวคือ อิสระที่ลาออกจากงาน เมื่อเข้าไปสัมผัสเบื้องหลังของบริษัทที่กำลังฟื้นฟูกิจการ ก็จะได้พบกับมหกรรมแห่งเสียงพร่ำบ่นและนินทา ประโยคซ้ำซาก เช่น บริษัทนี้งี่เง่ามาก ทำงานด้วยไม่ได้หรอก มีกมีให้ได้ยินตามจุดพักตรงขั้นบันไดหรือห้องสุขา และในจำนวนนั้นยังมีคนที่จงใจพูดให้คนที่เข้ามาฟื้นฟูบริษัทอย่างผมได้ยินอีกด้วย เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมจะบอกว่า ถ้าอยากลาออกก็ออกไปเลยสิ คุณมีอิสระอยู่แล้วนี่ ผมคิดว่าคนคนนั้นไม่มีอิสระที่จะทำอะไรตามอำเภอใจ ถึงรู้สึกแย่ที่ต้องปฎิบัติตามคำสั่งแลกกับสิ่งตอบแทนคือเงินเดือน ถ้าไม่มีอะไรไม่พอใจก็ให้ลาออกไป ถ้าไม่ลาออกก็จงทำงานต่อไป ไม่ต้องบ่น บางคนก็คิดว่าตัวเองถูกทรมานกรรมให้ทำงาน โดยเฉพาะพนักงานไม่เอาไหนที่อยู่ในบริษัท ย่อมรู้สึกว่า ทนทำไม่ไหวแล้ว เป็นธรรมดา แต่คุณไม่ใช่นักโทษในโรงงานนรก เพราะคุณมีอิสระที่จะไปจากบริษัทได้อย่างเต็มภาคภูมิ ดังนั้น ถ้าสมัครใจทำงานในบริษัทนั้นแล้ว ก่อนจะนั่งลงแจกแจงว่ามีอะไรที่ไม่พอใจบ้าง ให้ลงมือจัดการตัวเองเสียก่อน จากนั้นยกระดับตัวเองละเว้นการบ่นและนินทา แบบนั้นถึงจะเป็น วิธีที่ถูกต้อง มากกว่ากระมัง คนที่ชอบบ่นอิดออดไปฝืนใจทำงานไป ไม่มีวันจะเห็นโลกที่อยู่เหนือตัวเอง ชั่วชีวิตนี้ก็จบลงแค่ลงถูกใช้งานไปวันๆเหมือนฟันเฟืองตัวหนึ่ง ถ้าอยากเป็นเครื่องยนต์ ก็ต้องเริ่มผลักดันตัวเองก่อน ไม่เช่นนั้นแล้ว ทำงานไปก็ไม่มีทั้งความหมายและความสุข 51.เมื่อรับรู้ได้ว่าอันตรายใกล้จะมาถึงก็ถือว่าเป็นโอกาสที่จะก้าวหน้าแล้ว ว่ากันว่าสิ่งที่นักเบสบอลอาชีพกลัวที่สุด ไม่ใช่การบาดเจ็บหรือฟอร์มตก แต่คือการประชุมคัดเลือกผู้เล่นหน้าใหม่หรือแลกเปลี่ยนตัวนักกีฬา ซึ่งทำให้มีนักกีฬาเก่งๆที่เล่นในตำแหน่งเดียวกันกับตัวเองย้ายเข้ามาอยู่ในทีมของตน เรื่องนี้ ทะเกะชิ โคะบะ อดีตโค้ชเบสบอลของทีมฮิโระชิมะ โทโยคาร์ปผู้นำกองทัพหมวกแดงไปสู่แชมป์เบสบอลนิปปงซีรี่ส์ 3 สมัย ได้กล่าวไว้ในการบรรยายครั้งหนึ่ง ซึ่มผมได้ฟังแล้วก็จดลงสมุดบันทึกโดยอัตโนมัติ มีนักกีฬาจำนวนมากที่รู้ตัวว่าตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย จนนอนไม่หลับในคืนก่อนการประชุมคัดเลือกผู้เล่นหน้าใหม่ ดังนั้น นักกีฬาทุกคนจึงทุ่มเทฝึกซ้อมแม้ในวันหยุดเพื่อพยายามให้ตัวเองเก่งขึ้นอีกระดับ พอนักกีฬาผลงานดีที่ได้เข้าทีมใหม่ใหม่มาถึงแล้วเราคิดว่า “โอย แย่ละ” ก็ไม่มีทางก้าวหน้า แต่ในทางกลับกัน ถ้าคิดว่า เดี๋ยวรุ่นพี่จะแสดงฝีมือให้ดู จึงจะอยู่รอด การผลักเอาความกลัวออกไปให้ห่าง และเพิ่มความกล้าหาญที่ฝังรากในจิตวิญญาณการต่อสู้ให้มากขึ้นเป็นสิ่งจำเป็น 52.แสดงให้เห็นว่าเราวิ่งเพื่อทีม มีอีกเรื่องหนึ่งที่ทะเกะชิ โคะบะ อดีตโค้ชเบสบอลของทีมฮิโระชิมะ โทโย คาร์ป กล่าวได้อย่างน่าประทับใจไว้ในการบรรยายครั้งหนึ่ง ผมรู้สึกว่าสาเหตุที่ทำให้ทีมกองทัพหมวกแดงที่อ่อนแอขึ้นเป็นอันดับ 1 ของญี่ปุ่นได้ถึง 3 ครั้งนั้น ใช้โครงสร้างเดียวกับการเพิ่มผลกำไรให้แก่บริษัทที่อ่อนแอ ในสมัยนั้น ทีมฮิโระชิมะ โทโย คาร์ป มีชะชิโอะ คินุงชะ แลโคจิ ยะมะโมะโตะ สองมือตีโอมรันเล่นอยู่ในตำแหน่งคนตีลูกไม้ที่ 3 และไม้ที่ 4 แน่นอนว่า การแพ้ชนะขึ้นอยู่กับการตีลูกทรงพลังของ 2 คนนี้ แต่โค้ช โคะบะได้วิเคราะห์ว่า นอกจากการตีลูกที่ดีเลิศแล้ว จำนวนการขโมยเบสของ 2 คนนี้เมื่อเทียบกับผู้เล่นในตำแหน่งเดียวกันของทีมอื่นแล้ว มีมากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ คนที่เก่งระดับโปรดอย่าง 2 คนนี้พยายามวิ่งอย่างเต็มที่เพื่อทีมช่วยกระตุ้นผู้เล่นคนอื่นๆจนกลายเป็นทีมที่ชนะอยู่เสมอนั่นเอง เรื่องนี้ก็เหมือนกับคนทำงาน เมื่อผลกำไรเพิ่มขึ้น จงสร้างขวัญกำลังใจแก่องค์กรโดยทำตัวเป็นผู้นำ แสดงให้เห็นความพยายามที่มากยิ่งขึ้น 53.ห้องน้ำที่สะอาดเงางามทำอย่างไรก็ไม่สรกปรก เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อผมไปใช้บริการสนามกอล์ฟที่มีชื่อเสียงด้านการบริการแห่งหนึ่งในจังหวัดชิบะ แม้อาคารสถานที่จะเก่า แต่น่าแปลกว่าห้องน้ำสะอาดมาก จนบางครั้งต้องเอ่ยปากชมกับคนที่จะเป็นผู้จัดการว่า “ห้องน้ำสะอาดเอี่ยมอ่องมากเลยนะครับ” ก็ได้รับคำตอบว่า “อ๋อ” ถ้าเราทำให้สะอาดเอี่ยมอยู่เสมอ ลูกค้าทุกคนก็จะรักษาความสะอาดด้วย ซึ่งช่วยเราได้มากเลยครับ เป็นเรื่องจริงสำหรับห้องน้ำสกปรก คนที่ใช้มักรู้สึกว่าอย่างไรมันก็สกปรกอยู่แล้ว เลยพากัยทิ้งขยะบ้าง หรือใช้ลักษณะแปลกๆ เพราะกลัวเสื้อผ้าของตัวเองเปรอะเปื้อนบ้าง จนทำให้สรกปรกกว่าที่ควรจะเป็นเสียอีก นั่นเป็นเรื่องของห้องน้ำ ส่วนเรื่องการทำงาน ผมก็อยากให้ทำอย่างสะอาดเอี่ยมเช่นเดียวกัน ถ้าเราให้ทุกคนซอกทุกมุมของจิตใจสะอาดเอี่ยมแล้ว ความไม่ถูกต้องและสิ่งยั่วยวนไร้สาระจะแพ้ต่อความเงางามนั้น ยิ่งจะทำให้ทุกคนรอบข้างรู้สึกเคารพต่อท่าเคารพต่อท่าทีการทำงานที่เอี่ยมอ่อง และรู้รู้สึกว่าจะต้องปฎิบัติต่อคุณด้วยความจริงจังอย่างแน่นอน 54.ข้อคิดจากผม ถึงผู้ที่ตั้งใจ “อยากมีผมงานที่ดี” จงมีความกล้าหาญที่จะทำงานของตนให้เสร็จ อย่าเป็นผู้นำที่เอาแต่คำพูด จงมองคนอื่นแล้วย้อนดูตัว ผิดมารยาทเพียงครั้งเดียว อาจหมายถึงเรื่องร้ายแรง ผลงานก็เหมือนกับภูเขาน้ำแข็ง ส่วนที่มองไม่เห็น 90% คือความอุตสาหะพยายาม พยายามสร้างผลงานเพื่อความอยู่รอด สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความตั้งมั่น เมื่อมีความตั้งใจจะสร้างผลงานให้ดีกว่านี้ เป็นคนทำงานที่เก่งกว่านี้ ต้องใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้อยู่เสมอแล้ว ข้อคิดข้างต้นจึงจะมีความหมาย |