บทที่ 2 ทำเลยอย่ามัวแต่คิดบนความพยายามทำงานให้ได้เป็น 2 เท่า

19.ซื่อตรงต่อความคาดหวังอย่างเดียวไม่พอต้องเพิ่มความรวดเร็วในการตอบสนอง
เอกสารนี้จัดการให้เสร็จภายใน 5 วันนะ
เวลาที่วานให้ลูกน้องทำงานง่ายๆ เราจะรู้ได้ว่าลูกน้องคนนั้นเก่งหรือไม่ โดยไม่ต้องคิดให้วุ่นวาย
คนส่วนใหญ่มักจะนำงานมาส่งภายในวันที่ 5 แต่สำหรับคนเก่ง แค่วันรุ่งขึ้นหรือวันที่ 2 ก็ส่งงานได้แล้ว นอกจากจะไม่มีเวลาจริงๆ
แต่ความแตกต่างนี้แสดงถึงวิธีการจัดการเรื่องงานของคนคนนั้นได้อย่างชัดเจน คนที่จะส่งงานตอนใกล้จะถึงกำหนด เป็นคนที่ทำงานตามเงินเดือนเท่านั้น พอถึงคราวขับขันที่ต้องอาตัวรอด คนพวกนี้มักออกตัวช้ากว่าคนอื่นคนที่มีความตื่นตัวในการจัดการอยู่เสมอ จะมีการตอบสนองที่ดีและมีความรวดเร็วอยู่อยู่เสมอ จึงได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากบริษัท
เคล็ดลับการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจนั้น คือคนที่ ออกสตาร์ตได้เร็วกว่า ในการทำงาน จากนั้นก็เร่งความเร้วในก้าวที่ 2 ที่ 3 เพียงไม่นานก็จะทิ้งห่างจากคนอื่น
20.คนท่โต๊ะทำงานรกมักจะพลาดโอกาสดีๆ
คนที่มีความสามารถในการทำงานคือคนที่สามารถสร้างระบบได้อย่างชาญฉลาด ไม่ใช่คนที่สร้างปาฎิหารย์ แต่สิ่งที่ต้องการคือ การสร้างปาฎิหารย์ให้เกิดซ้ำอีกเรื่อยๆ
ระหว่างนักกีฬาที่นานๆจะจะตีโอมรันได้สักครั้ง นอกนั้นก็ตีไม่โดนลูกเลยจนต้องออกสนามจากสนาม กับนักีฬาที่ไม่ได้เก่งขนาดอชิโร่ แต่ตีลูกสวยได้วันเว้นวันอย่างสม่ำเสมอ ก็ยังดีเสียกว่า ถ้าเป็นนักธุรกิจก็จัดว่ามีฝีมือ
ทั้งอิชิโร่และนักธุรกิจมีฝีมือต่างสร้าง ระบบ ของตัวเอง โดยให้ความสำคัญกับ 3 สิ่งคือ ไม่ทำงานพลาด ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ เพิ่มความเป็นไปได้ให้ความสำเร็จ และแน่นอว่าโต๊ะทำงานของคนที่มีความคิดเป็นระบบนี้ร้อยต้องถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีทางเกิดเหตุการณ์อย่างเช่น หากกระดาษโน๊ตไม่เจอแค่แผ่นเดียว เลยเสียโอกาสเรื่องงานไป
โต๊ะทำงานรกเป็นสิ่งที่แสดงว่า แค่พื้นที่ระยะมือเอื้อมเท่านี้ยังไม่สามารถสร้างระบบท่ช่วยให้งานสำเร็จอย่างต่อเนื่องได้ ต่อให้คนประเภทนี้สร้างผลงานได้ดี ผมก็จะมองว่าเป็นปาฎิหาริย์หรือเรื่องบังเอิญมากกว่า จึงไม่ได้นึกชื่นชมอะไรนัก
21.คนที่รูปลักษณ์ภายนอกไม่น่าดู แค่นั้นก็เสียเปรียบคนอื่นมากแล้ว
“อย่าตัดสินใจคนจากภายนอก เป็นคำพูดที่เรามักได้ยินอยู่เสมอ แต่ความหมายที่แท้จริงคือ คนเราจะตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกอย่างไร เสียมากกว่า เหตุผลที่นักงสืบโคลัมโล ตัวละครซีรี่ส์ชื่อดังของต่างประเทศ สวมเสื้อโค้ตยับยู่ยี่นั้น ก็เพื่อพรางตัวไม่ให้เป็นที่สนใจของฝ่ายตรงข้าม เรื่องแบบนี้ดูเข้าแต่ในละครในชีวิตจริงถ้ามีคนที่แต่งตัวอย่างนั้นมาที่สำนักงาน คุณคงคิดว่าเป็นพวกพ่อค้ายเร่มายัดเยียดขายของ และคงไลตะเพิดออกไปเหมือนกัน
พูดง่ายๆ ว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่น่าดูนั้น แสดงถึงการขาดความเอาใจใส่ต่ออีกฝ่าย การทำธุรกิจเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ว่าจะยืดเอาควมเห็นของตัวเองฝ่ายเดียวไม่ได้ ถึงจะป่าวประกาศว่า “คนเราวัดกันที่ฝีมือ” อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายก็ไม่มีทางประเมินผลคุณให้ดีเกินกว่ารูปภายนอกที่เห็น
สำหรับนักธุรกิจิถ้าอีกฝ่ายไว่วางใจแล้ว ก็เท่ากับสำเร็จไปครึ่งหนึ่ง ผมยืนยังจากประสบการณ์ตรงได้ว่าเป็นความจริงที่สุด ดังนั้น ปัจจัยใดๆ ที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่มั่นใจตั้งแต่แรกพบกัน ต้องพยายามกำจัดเสีย
22.ถ้าไม่ย่างก้าวแรกก็ไม่มีก้าวต่อๆไป
ความสำคัญของการ “บุกก้าวแรก” จะเห็นได้ชัดเจนเมื่อดูการแข่งขันกีฬาในกีฬาที่ผมคุ้นเคย ทั้งฟันดาบ เบสบอล และฟุตบอล จะคาดเดาผลได้ง่ายๆว่า “ฝ่ายไหนจะแพ้” ก็เมื่อการบุก้าวแรก (หรือตั้งรับ) ต่อฝ่ายตรงข้ามช้าเกินไป
ทีนี้มาดูว่าทำไมก้าวแรกถึงช้า เมื่อพิจารณาในแล่กลไกลก็คิดออกมาได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
1.ประเมินคู่ต่อสู้ไว้สูง ทำให้เกิคความกลัวเลยสู้ไม่ออกตั้งแต่ตัน
2.ระหว่างแข่งขันไม่สามารถเล่นตามแผนที่วางไว้ได้ แรงจูงใจที่จะเล่นจึงลดลง
3.ผลที่ออกมาไม่ดีนัก จึงเสียความตั้งใจ
จาก 3ข้อนี้ สังเกตุได้ว่าสาเหตุส่วนใหญ่มาจากปัญหาด้านจิตใจ ถ้าบุกเข้าหาคู่ต่อสู้อย่างไม่หวั่นเกรง ต่อห้แพ้ผู้ชมจำนวนมากก็ยังเต็มใจปรบมือให้นักกีฬาใจสู้ เรื่องแบบนี้ในด้านการทำงานก็ไม่ต่างกัน
23.แทนที่จะเป็นคนปากไวหัดเป็นคนมือไวดีกว่า
จู่ๆก็ได้รับใบสั่งซื้อจำนวนมากอย่างคาดไม่ถึง มันกะทันหันจนสินค้าในสต๊อกมีไม่เพียงพอ การแก้ปัญหาคือดึงสินค้าจากร้านค้าส่งและผู้ค้าปลีกมาก่อน ดังนั้น หัวหน้าก็ส่วรายงานให้กับลูกน้อง พร้อมกับสั่งว่ายังไงก็ได้ ต้องหาสินค้ามาให้ทัน
จากเหตุการณ์นี้ ระหว่างลูกน้องที่นั่งติดเก้าอี้ เอาแต่บ่นว่า มาบอกตอนนี้แล้วจะทำได้ยังไงกัน กับลูกน้องที่คิดว่า นี่หมายถึงยอดขายก้อนใหญ่เลยนะ แล้วเริ่มต้นกดโทรศัพท์ทันที ถ้าเป็นคุณจะเลือกใคร
แทรที่จะเป็นคนที่ปากไวแล้วไม่ลงมือทำอะไรกับคนที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีและเริ่มต้นท้าทาย “สิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้” สำหรับผมรู้สึกสุขใจที่มีลูกน้องไม่นั่งเฉยติดเก้าอี้มากกว่า
24.คนที่ชอบจับผิดคนอื่นเป็นคนที่ไม่ควรส่งเสริม
เมื่อครั้งที่ผมเข้าไปฟื้นฟูกิจการบริษัทจามลำพัง ผมมักประกาศเสมอว่า การให้เบาะแสนั้นเราชื่นชม แต่ไม่สนับสนุน
ถ้าถามว่า หมายความอย่างไร คำตอบคือ บริษัทที่ถึงขั้นต้องฟื้นฟูกิจการทุกแห่งล้วนมีบรรยากาศไม่ดี พูดง่ายๆก็เปรียบเหมือนบ้านที่ทรุดโทรมเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื่อราและแมลงน่ารังเกียดอยู่แล้ว
ดังนั้นเราต้องดูว่าตรงไหนมีเชื้อราและแมลงน่ารังเกียจบ้าง กล่าวคือ ข่าวที่พูดถึงต้นตอของความไม่ชอบมาพากล หรือหารบริหารที่แย่ลง เป็นข้อมูลสำคัญต่อการชุบชีวิต บ้าน ขึ้นมาได้ แต่ถ้าเราให้ความดีความชอบแก่แหล่งข่าว ก็สร้างสังคมที่เต็มไปด้วยการให้ร้ายในที่สุด
บริษัทไหนก็มี “ผู้หวังดี” ทั้งนั้น คือพวกที่คอยจับผิดคนอื่นเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ โดยเฉพาะบริษัทที่กำลังฟื้นตัว มีไม่น้อยที่ทำผลงานได้ต่ำกว่าความคาดหวัง แต่ก็ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในกลุ่มผู้บริหาร
ความจริงแล้วคนพสกนี้แหละที่เป็น “แมลงร้าย” ถ้าไปให้ความดีความชอบกับคนพวกนี้ นอกจากพวกพนักงานจะหวาดระแวงแล้ว ยังพลอยทำให้คนที่เก่งจริงดูเป็นตัวตลกจนต้องหรีไปอยู่บริษัทอื่น
25.สิ่งที่ควรรู้ในสถานการณ์ฝืดคือกลยุทธ์เอาชนะด้วยความหวังสุดท้าย
เราไม่มีทางรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร สถานการณ์แบบนี้ การบริหาร(เข้าแลก) แบบเกินตัว หรือดันทุรัง ล้วนมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลว
แทนที่จะเดิมพันสูงแล้วมานั่งเสียใจทีหลัง ควรลงมืออย่างรอบคอบและรอบครอบ
การผจญภัยอย่างอ่อนประสบการณ์ ถ้าพลาดจนหมดเนื้อหมดตัวไปแล้วจะแก้ไขอะไรไม่ได้ 50 % ของบริษัทที่มีผลประกอบการติดลบที่ผมสัมผัสมาทั้งหมดกว่า 2,000 บริษัท ล้วนเป็นบริษัทที่เหนี่ยวรั้งไว้ด้วยความหวังน้อยนิดเท่านั้น
มีกฎของการปฎิบัติและวิธีที่อยากให้จดจำไว้เป็นสำคัญอยู่ 7 ข้อนั่นคือ
1.ขอให้มองอนาคตเรื่องงานเป็นระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว
2.อย่าผจญภัยในเรื่องไร้สาระ อย่างเสี่ยงโดยไม่จะเป็น
3.อย่าอวดตัว อย่าเหลิง
4.ไม่เสี่ยงโชค กระทำการด้วยคงามรอบครอบ
5.ไม่ผลีผลาม ไม่ลนลาน คาดเดาถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายได้
6.รับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ (สิ่งผิดปกติ เรื่องเร่งด่วน สิ่งที่เหนือความคาดหมาย) และบริหารความเสี่ยงอย่าละเอียดลลออ
7.ความสามารถทุกด้าน x อ่านเกมออก = ความสำเร็จ
แถมด้วยเงื่อนไขสำคัญคือ การมีสำนึกอย่างแรงกล้าว่า “อย่าล้มเลิกทำให้สำเร็จ”
26.คำต้องห้ามในการทำงาน คือ “ร้อน” “หนาว” “ยุ่ง”
ฤดูร้อน อากาศย่อมร้อน เป็นธรรมดา
ฤดูหนาว อากาศย่อมหนาว เป็นธรรมดา
วันทำงาน การงานย่อมยุ่ง เป็นธรรมดา
ทั้งๆที่เป็นเรื่องธรรมดา แต่กลับไม่รู้สึกไม่พอใจ บ่นว่าร้อนบ้าง ยุ่งบ้าง ถ้าคุณเป็นคนแบบนี้ ขอให้รีบปรับปรุงโดยด่วน
เหตุผลก็คือ เมื่อพูดคพเหล่านี้แล้ว จะเกิดความรู้สึกเชิงลบตามมาโดยไม่รู้ตัว ในทางกลับกัน ถ้ารู้สึกแบบนี้ขึ้นมา ควรพูดอย่างไรดี
ร้อนๆแบบนี้ก็สดชื่นดีนะ
หนาวๆแบบนี้ทำให้ใจเย็นลง คิดอะไรได้ดีขึ้น
ดีนะ มีงานเยอะแบบนี้
เข้าถ้าไหม ถ้ามีรุ่นน้องบอกคุณแบบนี้ คงรู้สึกดีมาก เหนือสิ่งอื่นใด คุณจะรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่พึ่งพาใด้ใช่ไหมล่ะ
27.ความเครียดโจมตียกใหญ่ ยิ่งตกที่นั่งลำบาก ยิ้งต้องคิดให้ง่ายเข้าไว้
ตอนที่ผมอายุ 30 กว่า ผมทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ในบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ เมื่อแผนงานที่ไว้เกิดเข้าตาจ แทนที่จะได้ทำงานอยู่ในกำมือ กลับต้องแก้ไขปัญหาให้จบเสียก่อน
ตอนนั้นรู้สึกเครียดวมาก มากจนน้ำหนักลงลดลงจาก 60 กิโลกรัม เหลือ 45 กิโลกรัมในระยะเวลาสั้นๆ และทำให้ตลอด 2 ปีนั้น ต้องพึ่งยานอนหลับถึงจะต้องหลับลง
จนท้ายสุดก็เป็นโรคที่เบื่อที่ทำงาน แต่จู่ๆก็เกิดความคิดว่า เป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เรื่องงานคิดให้ยุ่งยากไปก็ไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น หยุดเถอะ คิดให้ง่ายขึ้นดีกว่า
พูดอีกอย่างได้ว่า ให้เตรียมใจว่า อะไรจะเกิด มันก็จะเกิด หรือ เกว เซรา เซรา
เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะลุกขึ้นสู้ งานก็ค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ ดังนั้นเวลาที่กลุ้มใจ อย่าไปใส่ใจกับผลลัพธ์มากนัก พูดได้ว่า การคิดให้ง่ายเป็นสิ่งสำคัญ
28.ห้ามเปลี่ยนตัวผู้รักษาประตู ที่ทำให้ทีมชนะเด็ดขาด
เรื่องนี้ผมได้ยินมาจากลูกน้องคนหนึ่งว่า ในโลกของฟุตบอลมีคำถามดังกล่าวด้วย ผมฟังแล้วก็จดลงในสมุดบันทึกทันที เนื่องจากความหมายเหมือนกับข้อความควรระวังของนักบริหารในยามที่เศรษฐกิจดีอย่างไม่ผิดเพี้ยน
น่าแปลกใจที่คนไม่ค่อยรู้ถึงอันตรายของการโยกย้ายคนในช่วงที่ธุรกิจกำลังไปได้ดี สิ่งที่สามารถก่อให้เกิดผลเสียต่อธุรกิจได้ จึงต้องระวังให้ดี
สำหรับฟุตบอล ถ้าเปลี่ยนตัวผู้รักษาประตูจะมีผลต่อทีมเวิร์ก เช่นทำให้นักฟุตบอลคนอื่นอ่านสัญญาณบอกแผนกการเล่นจากผู้รักษาประตูคนใหม่ไม่ถูก ทำให้วิธีเดินเกมผิดไปหมด ส่งผลให้สปอนเซอร์และสื่อมวนชนพากันโวยวายว่า “กำลังอยู่แล้ว เปลี่ยนตัวทำไม” เป็นตัน
การบริหารก็เช่นกัน พอเปลี่ยนตัวคนทำหน้าที่เฝ้าระวังแล้ว ทำให้เกิดผลเสียตามมามากมาย ประการแรก อันทำให้เกิดผลกระทบอันละเอียดอ่อนต่อระบบที่ดีอยู่แล้ว ประการที่สอง อาจเดินหน้าตามการปฎิรูปอย่างผิดๆ ประการที่สาม สร่างความรู้สึกต่อต้านจากผู้เกี่ยวข้อง
เรื่องนี้ สำหรับนักธุรกิจทั่วไปก็เช่นกัน การเข้าไปปรับเปลี่ยนระบบของธุรกิจที่กำลังไปได้สวย เป็นเรื่องที่ต้องห้าม
29.การแสดงฝีมือในสถานการณ์ที่เสียเปรียบถือว่าเป็นผลงานของคุณเอง
หัวหน้าบางคนทอดทิ้งลูกน้อง หาว่า “หมอนั่นมันไม่ได้เรื่อง อย่างไม่แยแส ต่อให้หัวหน้าคนนั้นสร้างผลงานที่น่าทึ่งได้ แต่ผมก็รับไม่ได้กับหัวหน้าประเภทนั้นอยู่
เนื่องจาก เมื่อใดที่ต้องการให้คนพวกนี้ใช้ความสามารถเฉพาะหน้าก็จะไม่สามารถดึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวลูกน้อง หรือไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ด้วยตัวเอง ในมุมมองของผู้บริหารจะเห็นได้ว่า คนพวกนี้มุ่งเป้าไปยังผลงานของตน โดยละเลยการสร้างความแข็งเกร่งให้องค์กรโดยรวม
30.หัวหน้าที่ไร้ความสามารถไม่ใช่ทำงานสู้ลูกน้องไม่ได้แต่เป็นหัวหน้าประเภทที่ อิจฉาความสามารถของลูกน้อง
หัวหน้าบางคนชอบอวดเก่งต่อหน้าลุกน้อง ราวกับจะบอกว่า “ข้าแน่นอนกว่า” ถ้าแค่ตั้งใจทำงานอย่างเดียวก้คงไม่มีปัญหาอะไร หัวหน้าแบบนี้มักปิดบังข้อมูลสำคัญกับลูกน้อง หรือนินทาว่าร้ายลูกน้องให้บริษัทคู่ค้าฟังเป็นต้น
ด้วยความหลงตัวเองว่า “เก่งกว่าลูกน้อง” และเพื่อควมพอใจของตัวเอง จึงทำได้กระทั่งพฤติกรรมแย่ๆแบบนั้น
ถ้าพิจารณาองค์กรหรือบริษัทดู จะพบว่าองค์กรที่ลูกน้องทีความสามารถมากกว่าหัวหน้ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง โดยเฉพาะบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จำนวนลูกจ้างในแต่ละปีเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้น การมีลูกน้องที่เก่งกว่าไม่ใช่เรื่องแปลก
การนั่งอิจฉาลูกน้องเป็นเรื่องไร้สาระ เพาระการให้ลูกน้องที่มีความสามารถอยู่แล้วเก่งยิ่งขึ้นไปอีก คือหน้าที่ของหัวหน้า

      1. 31.ถ้าไม่มีโอกาสเข้ามาเลยแสดงว่าโฆษณาตัวเองไม่เก่งอย่างนี้ต้องโทษตัวเอง

เคยมีคนมาปรึกษาเรื่องกลุ้มใจกับผมว่า “หัวหน้าไม่มอบหมายงานสำคัญให้เลย”
ความจริงแล้วเรื่องนี้เดาว่ามี 3 สาเหตุ ประแรกคือ คนคนนั้นเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองเกินไป ประการที่ สอง
หัวหน้าไม่ได้ประเมินความสามารถของลูกน้องคนนั้นอย่างถูกต้อง ประการที่สาม คือมีความสามารถพร้อมอยู่ แต่เจ้าตัวไม่ได้แสดงให้หัวหน้าเห้นเท่าที่ควร
ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม ผมมีคำแนะนำประการเดียวคือ โฆษณาตัวเองให้มากกว่านี้
ยกตัวอย่างจากเรื่องฟุตบอล เคยได้ยินว่า ผู้เล่นตัวสำรองจะพยยามวิ่งไปมาอยู่ตรงหน้าโค้ช เพื่อให้โค้ชเห็นหน้าเห็นตาบ้าง จึงทำให้ให้โค้ชรู้สึกว่า “ถ้าไฟแรงขนาดนี้ จะลองเล่นให้ดู” เรื่องแบบนี้ ไม่จำกัดเฉพาะฟุตบอล แต่เป็ฯความรู้สึกปกติของมนุษย์ ถ้าได้รับเรื่องแล้ว ก็ให้กระโจนลงสนามอย่างกระตือรือร้น และเล่นให้เต็มที่ไปเลย
ถึงตอนนั้นถ้ากำลังไม่พอ ก้ยังเป็นโอกาสดีที่ได้ทบทวนว่ายังบกพร่องตรงไหน ถ้าโค้ชไม่ได้ประเมินผู้เล่นอย่างถูกต้องเมื่อได้เปลี่ยนตัวลงไป ก็ให้เล่นอย่างเต็มที่ อาจทำให้ประเมินถูกต้องขึ้นก็ได้ ถึงจะผิดพลาดไปบ้าง แต่ถ้าเล่นอย่างกระฉับกระเฉงในฐานะเจ้าของงาน จะได้รับการยอมรับว่า “เอาเถอะ” ผิดนิดผิดหน่อยไม่เป็นไร อย่างไม่น่าเชื่อ
ดังนั้น ควรทำงานอย่างทุ่มเท ถ้ามีงานที่อยากทำจงเสนอตัวว่า “ผมเหมาะสมที่สุด” แม้ความสามารถยังไม่ถึง ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี และยังเป็นโอกาสที่หัวหน้าจะปรับเปลี่ยนความคิดที่มีต่อคุณอีกด้วย แม้จะล้มลุกคุกคลาน ก็ถือว่าเป็นผลดีต่อความเจริญก้าวหน้าของตัวเอง
32.ข้อควรปฎิบัติเพื่อความสำเร็จ 4 ข้อฝากถึงนักบริหารโดยเฉพาะ
1.ชิงลงมือก่อน.
2.ยึดตำแหน่งที่ได้เปรียบ
3.อ่านคนให้เป็น
4.ภาพลักษณ์ต้องดูดี
บรรดานักธุรกิจมีฝีมือที่ผมเคยพบมา โดยเฉพาะคนที่ประสบความสำเร็จด้านการบริหาร จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม พวกเขาปฎิบัติตาม 4 ข้อ ดังล่าวนี้
Comments