1สุดยอดเคล็ดลับในการทำงานมีเพียง2 ข้อ ใช้เทคนิคและทุ่มเทให้เสร็จอย่างรวดเร็ว ข้อความดังกล่าวเป็นข้อคิดที่ผมใช้กระตุ้นลูกน้องที่กำลังหมดไฟในการทำงาน สาเหตุที่ทำให้จิตใจไม่มุ่งไปสู่การทำงานมีหลายเหตุบางทีสิ่งที่อยู่ในใจของพวกเขาคือ “จะทำงานในบริษัทนี้ต่อไปดีไหม พยายามแล้วแท้ๆแต่ไม่เห็นความก้าวหน้าไปไหนเลย” ก็เป็นไปได้ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นั้น เมื่อมีเหตุขัดข้องเพียงเล็กน้อยก็จะมองวิธีรับมือ เมื่อผลออกมาจึงสามารถจดจ่ออยู่กับงานได้ ลักษณะเช่นนี้เปรียบได้กับเกมหรือกีฬา เมื่อใดที่แข่งแล้วแพ้ เมื่อนั้นสมาธิก็หดหาย บ้างเฉื่อยฉาและสูญเสียความมั่นใจ ความแตกต่างอยู่ตรงนี้เอง ตรงที่เขาได้เรียนรู้อะไรจากความพ่ายแพ้บ้าง หรือจบลงที่ความหดหู่ว่า “เรามันไร้ความสามารถ “ ถือเป็นจุดที่จะวัดกันว่ามืออาชีพได้หรือไม่ การจะข้ามผ่านจุดนั้นไปได้ต้องอาศัย เทคนิคซึ่งก็คือความฝึกฝนทักษะ ถึงผลที่ออกมาจะไม่เหมือนที่ตั้งใจ ก็ให้มุ่งหน้าเดินต่อไปให้ถึงที่สุด 2เงื่อนไขการเลื่อนขั้นมีเพียง2ข้อ สิ่งที่ผมคำนึงถึงเมื่อพิจารณาเลื่อนขั้นให้ลูกน้อง มีเพียง2ข้อเท่านั้น “สาารถแสดงออกถึงศักยภาพภายในตนเองได้หรือไม่” “เป็นหัวหอกในการจัดการได้หรือไม่” ฟังดูเหมือนเรื่องง่าายๆ แต่คนที่ทำงานไปวันๆใช้แรงกายและความคิดไปอย่างไร้ประโยชน์ ไม่มีสอบผ่านเงื่อนไข2ข้อนี้ได้แน่ มีพลังกายมากพอจะหยัดจนถึงที่สุด และมีสติปัญญาในการบริหารแรงกายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย การสร้างคุณสมบัติ2ข้อนี้ให้ก่อเกิดขึ้นในตัวเอง คือเงื่อนไขจำเป็นในการสร้างความโดดเด่นให้แก่องค์กร พูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า “มีความสามารถในการจัดการที่ดี”หมายถึง ความสามารถในการประสานงานนั่นเอง ถึงแม้องค์กรมีเพียงผู้นำเพียงคนเดียวก็ตาม เมื่อมอบหมายให้ใครเป็นผู้นำ การวางแผนและความสามารถในการใช้พละกำลังดำเนินการเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ 3 สร้างตัวตนที่พิเศษขึ้นอีกเล็กน้อย นะงะชิมะ ชิเงะโอะ นักกีฬาคนดังเป็นรุ่นพี่ผมของผมตอนปี4 เมื่อครั้งเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมชากุระโคะโตะ ประจำจังหวัดชิบะ สมันเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย ตัวเขาพร้อมด้วยทะดะชิ ชุงิอุระและคิงโกะ โทะโทะยะชิกิอดีตดาราเบสบอลของกลุ่ม6 มหาวิทยาลัยในโตเกียวมาเยี่ยมเยือน โรงเรียนเก่า ผมไม่เคยลืมภาพของพวกเขาขณะเป็นโค้ชให้ชมรมเบสบอล ของโรงเรียนในตอนนั้นได้เลย ทุกคนมีราศีในสมัยนั้น บุคคลที่น่านับถือ อย่างรุ่นพี่นะงะชิมะได้กล่าวไว้ว่า “คนที่เป็นแบตเตอร์ไม้ที่ 4 (ตำแหน่งสำคัญที่สุดของคนตีลูก)จะรู้แค่เทคนิคอย่าวเดียวไม่พอ ต้องมีการแสดงตัวตนจากภายในด้วย จึงสร้าง ตำแหน่งมือลูกสำคัญได้” มีคนบางจำพวกที่แม้จะทำงานดีแค่ไหนก็เป็นหวหน้าไม่ได้ เขาเหล่านั้นอาจฟังคำของยอดนักกีฬาตัวจับยากผู้นี้อย่างนึกรังเกียจก็เป็นไปได้ แต่ผมคิดว่าการแสดงตัวตนจากภายในต้องอาศัยแรงผลักดันในตัวเอง ในบริษัทที่ผมเคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ หรือ CEO ส่วนที่คล้ายกันของคนที่อยากเป็นหัวหน้าแผนกแต่ทำไม่ได้คือ พวกเขามีอะไรบางอ่ยางที่จืดชืด โดยเฉพาะสำหรับบริษัทที่ฟื้นตัวจากผลประกอบการขาดทุน ถ้าเปรียบเทียบกับเบสบอลก็เหมือนโอกาสเล่นลูกสุดท้ายของเกมแล้ว ถึงตอนนั้นคนที่คู่ควรจะรับตำแหน่งคือคนที่ “พร้อมจะสู้ด้วยกัน” เท่านั้น การสร้างผลงานอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ การสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ทีมหึกเหิมเป็นสิ่งจำเป็น ความหมายที่แท้จริงของการแสดงตัวตนจากภายในก็คือความฮึกเหิมนี่เอง ถ้ามุ่งมั่นจะเป็นผู้นำก็ควรมีจิตใจคิดต่อสู้อยู่เสมอ 4องค์ประกอบของมืออาชีพก็คือ “ฝีมือ” และ “ความกระตือรือร้น” อีกทั้ง “ความภาคภูมิ” และ “ความรับผิดชอบ” ในบรรดานักธุรกิจที่ผมเคยพบมา คนที่ให้รู้สึกว่า “คนนี้เป็นมืออาชีพจริงๆ” มีแค่หยิบมือ และเมื่อพิจารณาดูก็รู้สึกว่า องค์ประกอบที่เป็นแรงขับดันให้แก่คนเหล่านี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆดังต่อไปนี้ กลุ่มแรกคือ คนที่มีฝีมือและความกระตือรือร้น มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ทักษะทางเศรษฐกิจอยู่อย่างต่อเนื่อง พยายามวิ่งให้ทันโลก เพื่อไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว อย่างไม่สิ้นสุด ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือ คนที่มีความภาคภูมิและมีความรับผิดชอบ คนที่เอาชีวิตเข้าแลก ทำทุกทางให้งานที่ได้รับมอบหมายลุล่วงด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อได้ฝึกฝนทักษะจนได้รับการยอมรับแล้ว จึงเกิดเป็นความภาคภูมิใจและความรับผิดชอบ และเพื่อจะทำงานด้วยความภาคภูมิใจและความรับผิดชอบก็ยิ่งต้องฝึกฝนทักษะ คนที่มีองค์ประกอบ4 ประการนี้ จึงจะได้เรียกว่าเป็นมืออาชีพ แม้จุดเริ่มต้นจะต่างกันก็ตาม 5 เมื่อโอกาสอยู่ตรงหน้ากล้าเผชิญหรือเปล่า ผมมีประสบการณ์ทำงานบริษัทข้ามชาติมายาวนาน จึงได้เห็นจุดอ่อนในองค์กรของคนญี่ปุ่นอยู่มาก ในจำนวนนั้น จุดอ่อนที่พบมากที่สุด คือ ความกลัวผิดพลาดจนไม่กล้าทำอะไรท้าทาย เวลาดูฟุตบอลก็เหมือนเห็นจุดอ่อนอย่างเดียวกัน คือเวลาโอกาสที่ยิงลูกมาถึงตรงหน้า แต่ผู้เล่นกับพลาด หรือประตูอยู่แค่เอื่อมแล้ว แต่ก็ยังส่งลูก ไปกับคนอื่น คล้ายกับนักธุรกิจที่ยอมตดสินใจเรื่องงาน ไม่รู้ว่าเหตุใดญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศที่เพ่งเล็งคนที่ท้าท้ายทำสิ่งใหม่ๆมากเกินไป ทั้งที่จริงแล้วคนที่กล้าลงแข่งขันแม้จะแพ้ก็ควรได้รับคำชมเชย ปัญหาอยู่ตรงคนที่ไม่คิดทำอะไรเลยมากกว่า คนญี่ปุ่นนั้นมักยัดเยียดความผิดพลาดให้ตกเป็นเรื่องของตัวบุคล แม้ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้อยู่เสมอ มีเรื่องเล่าที่รามักได้ยินอยู่เสมอ คือ ชินจิโระโทะริอิ ผู้ก่อตั้งบริษัท ซันโตรี มีคำพูดติดปาก “ไม่ลองไม่รู้” การที่ผู้นำมีทัศนคติเช่นนี้ ช่วยสร้างพนักงานที่มีความสามารถได้ จะอย่างไรก็ตาม พนักงานที่ไม่กลัวการต่อสู้และไม่กลัวความพ่ายแพ้ จึงจะเป็นกำลังสำคัญอย่างแท้จริง 6เรียนรู้จากอดีต ถึงได้มีอนาคต สมัยที่ผมอายุ 20 เศษ มีรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อคุณ D อายุมากกว่าผม 10 ปีพอดิบพอดี เขาได้ชื่อว่า เป็นคนฉลาดหลักแหลมคนหนึ่งในบริษัท และเคยเป็นหัวหน้าแผนกที่มีอายุน้อยที่สุด ผมพยาที่จะเข้าหาคุณ D ทุกวิถีทางจนในที่สุดฝันก็เป็นจริง คือมีโอกาสรับประทานอาหารร่วมกัน ในตอนนั้นคุณD พูดกับผมว่า “นี่ฮาเซงาวะ เวลาหลังเลิกงานไปแล้ว คุณเคยทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันบ้างไหม” เขายังพูดต่อไปว่า “การย้อนกลับไปทบทวนทั้งเรื่องดีและไม่ดีในวันนี้ ทำให้พรุ่งนี้เป็นวันที่ดี เพราะเรียนรู้อดีต ถึงได้มีอนาคคตไงล่ะ” เขาบอก 8 สิ่งทบทวน ซึ่งเขียนไว้ในหน้าถนัดไป ตั้งแต่นั้นมา ผมจะ “ทบทวนเรื่องวันนี้” จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันการทบทวนนี้ช่วยให้คุณมีคุณภาพและความรวกเร็วในการทำงานสูงขึ้นเป็นเท่าตัว 1-เรื่องที่ได้เรียนรู้วันนี้คืออะไร 2-วันนี้คิดไอเดียใหม่ๆได้บ้าง 3-อะไรเป็นอุปสรรคของงานในวันนี้สาเหตุคืออะไร 4-วันนี้ได้ขยับเข้าไกล้เป้าหมายมากขึ้นแค่ไหน 5-ถ้าให้เพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องประเมินตัวเราวันนี้ น่าจะได้กี่คะแนน 6-วันนี้อารมณ์และความรู้สึกเป็นอย่างไร 7-เรื่องที่ดีใจและเรื่องที่เสียใจคืออะไร 8-วันนี้สภาพร่างกายเป็นอย่างไร ถ้าไม่พร้อมสาเหตุคืออะไร ผู้อ่านคิดเห็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ลองรำไปปฎิบัติดูก็แล้วกัน 7พ่อค้าที่ไม่เข้าใจลูกค้าไม่มีทางได้กำไร ลูกค้าที่ไม่เข้าใจพ่อค้าไม่มีทางคุ้ม สินค้าที่ขายดี ไม่ได้อยู่ที่การแข่งขัน แต่อยู่ที่ตำแหน่งที่เป็นต่อนั่นเอง ผมมักพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการประชุมสั้นๆ ก่อนเริ่มงานในบริษัทที่เข้าไปฟื้นฟูกิจการเสมอ ถึงสิ่งที่เป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่นักธุรกิจจำนวนมากมองข้าม นั่นคือสัจธรรมของการค้าขาย 3 ข้อข้างต้น กรณีที่มัวแต่คิดหาไอเดียบรรเจิดเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน โดยละเลยพื้นฐานดังกล่าวไปยังมีมากทีเดียว 8.นักธุรกิจที่ทำงานเป็นมีของดีในตัวเอง เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ในสมัยที่ยังเป็นเด็กใหม่อ่อนประสบการณ์ ผมเคยคิดว่า “เราต้องเป็นคนทำงานไปตลอดทั้งชาติ ขออย่างเดียวอย่าเป็นประเภทที่ไม่ได้เรื่อง....” แล้วจะทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นคนไม่ได้เรื่องล่ะ หลังจากใช้ความคิดสักครู่ ก็คิดออกมาได้2 เรื่องดังนี้ 1-บริษัทต้องการคนทำงานที่ “ของดีอยู่ในตัว” 2-ถ้าสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับคนทำงาน ก็เท่ากับสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับองค์กร เพื่อความอยู่รอดต้องหมั่นตั้งเป้าหมายและลงมือทำอยู่เสมอ อย่างเช่นขั้นแรก ในตอนนั้นประเทศญี่ปุ่นมีแนวโน้มว่าก้าวเข้าสู่ความเป็นสากลมากขึ้น ผมจึงเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมจนถึงระรับที่ใช้งานได้ อีกอย่างหนึ่งคือเรียนรู้วิธีการบริหารใหม่ๆในฐานะนักธุรกิจ หลังจากนั้นก็ได้ย้ายเข้าทำงานในบริษัทข้ามชาติ เพื่อเรียนรู้ด้านการตลาดและการบริหารที่บริษัทในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยคุ้นเคย 9เงินลงทุนสูงสุดที่จำเป็นคือการใช้เงินไม่ไห้สูญเปล่า เงินลงทุนด้วยก้อนเงินเล้กที่สุด เพื่อผลกำไรก้อนใหญ่ที่สุด เป็นวิธีคิดที่ผิด เคล็ดลับในการทำกำไรคือ “ลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่จำเป็นเพื่อให้ได้ผลกำไรก้อนใหญ่ที่สุด” ทฤษฎีนี้ผมเคยกล่าวไว้ในเล่มที่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ได้เขียนอธิบายคีย์เวิร์คเพิ่มเติมลงในสมุดบันทึกว่า “ทุนสูงสุดทเที่จำเป็น คือการไม่ปล่อยให้เงินจมอย่างชาญฉลาด” ตัวอย่างมีดังนี้ บริษัทที่มีผลประกอบการขาดทุนที่ผมร่วมหัวจมท้ายมา ทุกแห่งต่างไม่มีเงินและลงทุนทั้งนั้น ถ้าผมพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น ก็จะลงทุนโดยไม่มานั่งเสียดาย เมื่อครั้งไปเจรจาธุรกิจกับกรรมการบริษัทกับกรรมการบริษัทร้านค้าปลีกรายใหญ่แห่งหนึ่ง ผมได้นำวุ้นพิเศษจากร้านเก่าแก่ขึ้นชื่อ บรรจุในหีบไม้มีราคาถึง 20,000 เยนไปฝากด้วย ยังจำได้ว่ากรรมการบริษัทผู้นั้นยื่นมือมารับขนม ไปอย่างไม่ใส่ใจ จึงทานน้ำนักของหีบไม่ไหวจนเกือบจะทำหลบเลยทีเดียว ของขวัญที่มักมอบให้เทศกาลกลางปี และวันสิ้นปี ที่ใครๆก็มักออกตัวว่า “ของไม่มีราคาค่างวดอะไร” จะว่าไปมันก็ไม่สร้างความประทับใจให้จริงๆ เพราะกลายเป็ฯของไม่มีราคาค่างวดตามคำพูดของผู้ให้ไปแล้วเวลาแข่งขันทางธุรกิจกันจริงๆ เงินลงทุนสูงสุดที่จำเป็น เท่ากับการ ใช้เงินให้คุ้มค่าเงินจำนวนนั้น การใช้เงินไปโดยไม่ได้ฝากความประทับใจไว้ให้อีกฝ่ายนั้น เป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ 10.คนที่ประเมินออกถึงความไม่พอใจที่ลูกค้าไม่พูดเป็นคนเก่งอย่างเหนือชั้น เรื่องนี้ได้ยินมาจากเจ้าของร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งในโตเกียวเขามีร้านอาหารถึง 5 แห่ง ในวัย 40 เศษที่มาของความสำเร็จมีดังนี้ เมื่อใดก็ตามที่เขาพอมีเวลาว่าง เขาจะคอยสังเกตุความคิดเห็นและความไม่พอใจที่ลูกค้าไม่พูดออกมา มีครั้งหนึ่งท่ผมรู้สึกไม่สบาย จึงเหลืออาหารจานหลักที่เป็นปลาไว้ถึงครึ่งจาน เมื่อตอนเซ็กบิล เขาถามอย่างจริงจังว่า “คุณฮาเซงาวะครับ” ไม่ทราบว่าอาหารวันนี้มีอะไรผิดปกติหรือไม่ ทำไมถึงรับประทานไม่หมดล่ะครับ ผมจึงตอบว่า แค่รู้สึกไม่สบายเท่านั้น กับลูกค้าคนอื่นๆเขาก็พยายามซักถาม เพื่อให้อาหารและบริการของร้านออกมาดีที่สุดอยู่เสมอ ที่จริงเรื่องนี้นำไปปรับใช้กับงานอย่างอื่นได้ด้วย ลูกค้าใช่ว่าจะพูดทุกอย่างที่ไม่พอใจออกมา ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆก็มักจะเก็บไว้ในใจตรงล่ะที่เป็นปัญหา การแก้ปัญหาที่มองไม่เห็นด้วยตาก็เป็นเคล็ดลับหนึ่งของการผูกใจลูกค้าได้ยาวนานเช่นกัน 11 .ทำให้ลูกค้านึกอยากซื้อเมื่ออยู่ในร้านแล้วที่เหลือก็แค่รอ มีวิธีที่จะช่วยเพิ่มยอดขายจากปกติอีก 20 % นั่นคือการอาศัยความพยายาม เมื่อครั้งที่ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลกลยุทธ์การขายให้แก่ธุรกิจร้านขายกล้องถ่ายรูปแห่งหนึ่ง ผมได้ไปสังเกตการณ์ลูกค้าในสาขาที่มียอดขายต่ำสุดในบรรดาร้านทั้งหมด 10 สาขา เป็รเวลา 2 ชั่วโมง ลูกค้าที่เข้ามาในร้านมีจำนวนรวม 18 คน แต่ของที่ขายคือกล้องดิจิทัลราคาประมาณ 20,000 กว่าเยนตัวเดียวเท่านั้น ดังนั้น ผมจึงแนะนำเคล็ดลับ 5 ข้อให้แก่พนักงานขาย ปรากฎว่าในเวลา 2 ชั่วโมงเท่ากันเท่ากัน กลับขายกล้องได้ถึง 5 ตัวเคล็ดลับที่ว่ามีดังต่อไปต่อนี้ 1.สังเกตสายตาของลูกค้า เพื่อดูว่าซื้ออยากหรือไม่ 2.เป็นฝ่ายพูดคุย เพื่อเปิดโอกาสในการขาย 3.ช่วยลูกค้าหาสินค้าที่ต้องการด้วยกัน 4.ตอบสนองการตัดสินใจของลูกค้าอย่างอบอุ่น 5.เมื่อลูกค้าซื้อ ต้องให้เขา รู้สึกว่าคุ้มค่า เท่านี้เอง ไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นเกินไปเลย ใช้ความรู้สึกเดียวกับเวลาหาของขวัญให้คนรักก็ได้ 12.ผลลัพธ์ของการสอนคือ “ต้องทำได้” ถ้ายังทำไม่ได้ก็ไม่ต่างกับไม่ได้สอนอะไรเลย คนที่มีอาชีพฟื้นฟูองค์กรที่มีผลประกอบการขาดทุนอย่างผมนี้ได้พบเห็นองค์กรมามากมาย สิ่งที่พบเห็นมากที่สุดคือ กรณีที่องค์กรมีหัวหน้างานซึ่งมองเผินๆ เหมือนมีความเป็นผู้นำสูง และดูเหมือนคอยผลักดันหน่วยงานของตัวเองได้ แต่ผลงานโดยรวมของหน่วยงานกลับไม่ดีขึ้นเลย สิ่งที่คล้ายกันของหัวหน้าเหล่านี้คือ เป็นหัวหน้าประเภทคอยสั่งดุ ลูกน้องอยู่ตลอด แต่สอนงานไม่เป็น บางกรณีก็ดูเหมือนคอยสอนงานลูกน้องอย่างละเอียดยิบ แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ ก้แค่ติเตียนทุกจุดอย่างพร่ำเพรื่อเท่านั้น ตรงกันข้ามกับหน่วยงานที่มีหัวหน้าทำตัวสบายๆ ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจทำงานเท่าไหร่ แต่ผลงานกับออกมาดีก็มี หัวหน้าประเภทนี้ร้อยทั้งร้อยคือ คนที่สอนเก่ง สามารถถ่ายทอดให้ลูกน้องเข้าใจอย่างชัดเจนว่าต้องจัดการอะไรบ้าง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ เวลาประชุมอะไรก็จบได้ในเวลาสั้นๆ การฟื้นฟูองค์กรที่มีผลประกอบการขาดทุนคือการแข่งกับเวลา คล้ายกับการรักษาโรคที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว ถ้าช้าไปแค่ก้าวเดียวอาจจะเสียบริษัทไปทั้งบริษัทก็ได้ ดังนั้น การสอนลูกน้องอย่างมีประสิทธิภาพคือกฎเหล็กข้อหนึ่ง 13.ถ้าไม่อยากสะสมความเครียดวิธีที่ดีที่สุดคือใส่ใจรายละเอียดให้ถึงที่สุด สาเหตุของความเครียดประจำวัน พูดง่ายๆว่าเกิดจากจำนวนแลแความหนักหนาของ “เรื่องที่กังวล” ยกตัวอย่างเช่น “ เอกสารที่ส่งไปยังไม่ทันได้ตรวจสอบเลย มีอะไรผิดบ้างหรือป่าวก็ไม่รู้” “เรื่องที่นัดคุยพรุ่งนี้ จะโทรไปยืนยันตอนกลางวันนี้สักรอบดีไหมนะ” “กำหนดไว้ว่าเงินจะต้องเข้าวันนี้ แต่ไม่รู้ว่าบริษัทนั้นจะโอนให้ตามกำหนดหรือป่าว” ….ยิ่งใครที่ว่างานยุ่งแล้วทำงานไปด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆ แบบนี้ก็จะมีเรื่องประเภท “โอเคหรือเปล่า” เล็กๆน้อยๆ แบบนี้ทับถมจนกลายเป็นความเครียดสาหัสในที่สุด ดังนั้น ยารักษาโรคเครีดที่ได้ผลที่สุดคือ การทุ่มเททำงานให้ละเอียดอย่างตรงไปตรงมา หากไม่ปรับปรุงวิธีทำงานและปล่อยไปอย่างนั้น น่ากลัวว่าจะกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ชนิดที่ยากจะแก้ไขได้ ความเครียดที่ทำให้กลัดกลุ้มเนื่องมาจากความรู้สึกังวลท่เกิดจากจิตใต้สำนึกว่า “ถ้าไม่จัดการต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ” ความกงัวลเช่นนี้ คือ “สัญญาณอันตราย” ในการทำงานของคุณนั่นเอง 14.คนที่รุ้ข้อด้อยของตัวเองสามารถเป็นผู้นำที่แท้จริงได้ ลองนึกภาพตามดูสักนิด สมมติว่าคุณกลายเป็นหัวหน้าแผนกที่คุณทำงานอยู่ตอนนี้ แล้วพนักงานในแผนกทุกคนมีความสามารถเหมือนคุณนิสัยเหมือนคุณ ทั้งแผนกมีแต่คนที่เหมือนกันราวก๊อบปี้ออกมา คุณคิดว่าองค์กรจะออกมาหน้าตาอย่างไร คิดว่าผลงานจะออกมาดีกว่าตอนนี้ไหม หรือท่าทางจะเละเทะมากกว่า ใครที่คิดว่าท่าทางจะเละเทะ แสดงว่าลักษณะการทำงานของแผนกตอนนนี้ยังไม่ผ่านเกณฑ์ ในใจบางคนอาจจะรู้สึกว่า “ถ้ามีคนที่ต่างจากเราทั้งนิสัยและสามารถสัก 3 คนคงจะพอไหว” คนประเภทนี้คือคนที่รู้ทั้งข้อดีและข้อด้อยของตัวเองอย่างถ่องแท้ ว่าแม้จะมีข้อดียังไง แต่พอไม่มีใครคอยช่วยคุณทำงานแล้วงานเดินหน้าไปไม่ได้ละก็ ฝ่ายนายจ้างก็ไม่ให้คุณเป็นเหมือนหัวหน้าเหมือนกัน เมื่อไรที่รู้สึกว่าเดินหน้าช้า ให้ลองใช้วิธีสมมุติเช่นนี้ดู แล้วจะเห็นชัดขึ้นว่าคุณยังขาดอะไรไปบ้าง 15.ข้อคิดมหัศจรรย์ 6 ข้อ เพื่อหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ แทนที่จะคาดหวังจากบริษัท... 1.จงคิดอยู่เสมอว่าเราจะทำงานอะไรได้บ้าง 2.หลังจากใช้ความพยายามแล้ว ก็ต้องปล่อยให้ไปตามธรรมชาติ 3.ถึงผิดพลาดก็แค่เสมอตัว ลุยให้รู้ดำรุ้แดงไปเลย 4.ถ้ามีฝันก็ยังมีวันพรุ่งนี้ 5.จงเปล่งประกายจากภายใน ส่วนภายนอกเอาไว้ก่อน 6.สู้อย่างตรงไปตรงมา เมื่อรู้สึกอ่อนแรง แทนที่จะมองหาตัวช่วยทันที ขอให้ระลึก 6 ข้อนี้ก่อน สลัด “ความรู้สึกที่ชอบพึ่งคนอื่น” แล้วก้าวเดินบนขาของตัวเองเสีย 16.ไม่ทำงานงานหนักขึ้น อีก 8 เท่าก็แพ้ชาติอื่น คุณคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับความจริงข้อนี้ในสถานการณ์ปัจจุบัน เรื่องนี้เป็นเรื่องของบริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรเพื่อการผลิตรายสำคัญรายหนึ่ง ซึ่งผมได้ฟังมาจากนักเขียนข่าวเศรษฐกิจที่รู้จักกัน ในวันปฐมนิเทศพนักงานใหม่เดือนเมษายน ประธานบริษัทได้ออกมายืนต่อหน้าพนักงานใหม่ 20 คนและกว่าดังนี้ ที่ประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่ากันว่าคนที่เรียนจบระดับมหาวิทยาลัย แม้กระทั่งมหาวิทยาลัยชั้นนำ ก็ยังรับเงินเดือนในตำแหน่งงานแรก 25,000 เยน ลองคิดดูง่ายๆ ทุกเดือนบริษัทของเราต้องจ่ายเงินเดือนให้ทุกท่านทั้ง 20 คนนี้ คนละ 20,000 เยน นั่นคือสูงกว่าเขาถึง 8 เท่า ผมไม่ได้หมายความว่าพวกคุณต้องทำงานเป็น 8 เท่า แต่ผมต้องการบอกว่า ตราบใดที่เราไม่มีสปีริตและแรงใจแล้ว ก็เท่ากับเรายองแพ้เขาอยู่เพราะในปัจจุบันบริษัทกำลังมีแผนจะจ้างงานผลิตบางส่วนที่ประเทศนั้น หมายความว่า ในอนาคต คู่แข่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศเท่านั้นแต่ยังมีต่างประเทศเป็นคู่แข่งอีกมาก แน่นอนว่า นอกจากเสียเปรียบค่าจ้างแรงงานแล้ว วันที่ในด้านเทคนิคก็ด้อยกว่า กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นคนที่จะอยู่รอดได้คงต้องเป็ฯคนที่มีความตั้งใจหนักแน่น ทำงานให้มากขึ้น 8 เท่าและแสดงสปีริตออกมาเห้นกระมัง 17.อย่าปล่อยให้ตัวเองจมน้ำตายโดยไม่พยายามว่ายหรือพายเรือข้าม จงมีความกล้าหาญและสติปัญญาเพื่อว่ายน้ำฝ่าคลื่นทะเลครั้ง ผมมักคิดเสมอว่า บริษัทก็เหมือนกับทะเล เมื่อยืนชมวิวทิวทัศน์อยู่งบนชายหาด ก็จะเห็นแต่ทิวทัศน์งดงานน่าอัศจรรย์แต่พอก้าวลงไปก็จะรู้ซึ้งถึง ความยุ่งเหยิง ที่ปรากฎในหลายรูปแบบขึ้นมาทันที ทะเลที่เงียบสงบในฤดูร้อนชวนให้รู้สึกผ่อนคลายหายกังวลทั้งใจและกาย แต่ทะเลเย็นเยือกในฤดูหนาวกลับเป็นสิ่งน่ากลัวจนรู้สึกหนาวเข้ากระดูกทีเดียว ถึงจะไม่สบายใจว่า ช่วงนี้คลื่นลมปลอดโป่ง ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิดวิกฤตคลื่นยักษ์รุงแรงเหมือนกรณีการล้มละลายของบริษัทเงินเลห์แมนบราเทอรส์ ดังนั้นแล้วการวิ่งเล่นอยู่แค่ริมฝั่งเท่ากับไม่มีความก้าวหน้า ตราบใดที่ไม่ออกไปท้าทาย เช่น ว่ายไปให้ให้ถึงเกาะที่อยู่ไกลๆ หรือล่องเรือออกไปจับปลาตัวโตๆ ทะเลก็จะไม่ให้ประโยชน์อะไรแก่ตัวเราหรือครอบครัวเลย ทั้ง บริษัทและทะเล ต่างประเมินค่าเฉพาะคนที่มีบทบาทเท่านั้น แต่ทะเลกับบริษัทก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่ต่างกันคือ บริษัทจะไม่เล่นงานคุณจนถึงแก่ชีวิตเท่านั้นเอง ถ้างั้นก็ลงแหวกว่ายเสียให้สบายใจเถอะ 18.สร้าง “ความแตกต่าง” 3อย่างเพื่อให้เกิดพลังในการแข่งขันเอาตัวรอด ผู้ที่จะอยู่รอดในยุคแห่งความยากลำบาก จะต้องมี 1.ความสามารถพื้นฐานที่แตกต่าง 2.การแสดงข้อดีที่แตกต่างของตยอย่างชาญฉลาด 3.การหาวิธีที่แตกต่างให้ตัวเองได้สร้างประโยชน์ในองค์กร ความสามารถที่แตกต่าง 3 ข้อข้างต้น เป็ฯสิ่งที่ขาดไม่ได้ หมายถึงคุณต้องเริ่มจากความพยายาม 3 ข้อคือ ตั้งเป้าจะพัฒนาทักษะพื้นฐานที่จำเป็น นอกจากทกี่พัฒนาแล้ว ต้งอไม่เกียจคร้านที่จะฝึกฝนความสามารถพิเศษที่แตกต่างจากคนอื่น รักษาที่มั่นของตัวเองในองกรค์กรเอาไว้ให้ตลอด และอย่าลืมงว่าตัวเองยืนอยู่ในสนามรบเสมอ ส่วนบริษัทจะอยู่รอดได้ ต้องสร้างความแตกต่าง 3 ส่วน ต่อไปนี้ 1.ความแตกต่างของสินค้า 2ความแตกต่างของคำโฆษณา 3ความแตกต่างของแผนกการขาย ส่วนคุณ อยากให้คุณอุทิศตนเพื่อสร้างความแตกต่าง 3 ข้อดังกล่าวในบิษัทให้เป็นจริง |