ผมไม่เคยนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อไปถึงที่ทำงานในตอนเช้าเลย เพราะ ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการทำงาน ถูกป้อนไว้ในช่วงเวลา 2 ชั่วโมงระหว่างเดินทางจากบ้านที่เมืองโออิโชะ จังหวัดชินะงะวะ มาถึงโตเกียวแล้ว เนื้อหา 30% ของสมุดบันทึก “เอ๊ะ น่าสนใจ” ที่กลายเป็นหนังสือนี้ก็เขียนในระหว่างเดินทางมาทำงาน ถ้าทำให้ผมออกความคิดเห็น คนที่มาบริษัทแล้วค่อยคิดว่า “เอาละ” วันนี้จะเริ่มจากอะไร ดี เป็นพวกมือใหม่อย่างแท้จริง แค่การคิดแผนการทำงานล่วงหน้า 1 วันระหว่างเดินทางมาทำงาน นั้น ควรเป็นหน้าที่เบื้องต้นของคนทำงานมิใช่หรือ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงคนที่เอาแต่ลเนเกมหรือเปิดอ่านข้อความในโทรศัพท์มือนะ พลทหารที่มุ่งหน้าสู่สนามรบโดยไม่มีทั้งปืนและแผนที่มีความเป็นไปได้ต่ำที่จะรอดมากลับมาฉันใด ก็คงไม่เกินความจริงไปถ้าจะพูดว่า “ อัตราการได้ต่ำที่จะรอด” ของคนทำงานที่ไม่นำข้อมูลล่าต่ำสุดและตารายการทำงานไปด้วยก็ยิ่งต่ำลงฉันนั้น “พอถึงโต๊ะทำงานก็เตรียมตัวสู้ศึกทันที” เป็นคำที่ผมจำใส่ใจเสมอเมื่อได้เลื่อนตำแหน่ง เพราะการนั่งเรื่อยเปื่อยอยู่กับโต๊ะ เวลาที่เสียเปล่าไปเพียง 5 นาทีนี้ จะยิ่งเพิ่มความเสียหายแก่บริษัทมากขึ้นตามตำแหน่งที่สูงขึ้น
ในระดับเล็ก เช่น แผนงาน แผนการนำเสนอ ในระดับใหญ่ เช่น แผนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ การเริ่มต้นธุรกิจ รวมถึงแผนฟื้นฟูธุรกิจด้วย ถ้าเรามีแผนแม่แบบอยู่แล้ว ก็จะเปิดทางไปสู่ความสำเร็จและสามารถใช้รูปแบบการทำงานเดียวกันซ้ำได้เรื่อยๆอีกด้วย ต่อไปคือ Procedure (วิธีดำเนินการ) เป็นขั้นตอนทั้งหมดในการดำเนินงานให้เสร็จสมบูรณ์ จะสามารถกำหนดแผนดำเนินการด้านกฎหมายไปจนถึงการวางรากฐานรายละเอียดของงานภายในบริษัทได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้ถ้าแจกแจงให้ชัดเจนเวลาทำงาน ก็จะเป็นประโยชน์ในอนาคต ในสมุดบันทึก “เอ๊ะ น่าสนใจ” ของผม ส่วนใหญ่จดบันทึกขั้นตอนการทำงานลักษณะนี้ไว้ค่อนข้างมาก การจดบันทึกว่าจะทำงานด้วยวิธีใด ทำแล้วเสร็จหรือไม่ จะทำให้ได้เปรียบมากในการทำงานลักษณะเดียวกันครั้งต่อไป ดังนั้น การจดบันทึก Procedure เป็นสิ่งสำคัญต่อการทำงานครั้งหน้า และถ้าเป็นหัวหน้าเมื่อไร จะต้องยึดถือ 2 สิ่งให้จริงจังยิ่งขึ้น ถ้าสั่งลูกน้องให้ทำงานตามรูปแบบและกระบวนงานที่กำหนด ก็จะได้งานที่มีคุณภาพสูงกลับมา แต่คนญี่ปุ่นกลับไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จนน่าแปลกใจ มีคนจำนวนมากที่เขียบแผนงานตามอารมณ์บ้าง ทำงานตามขั้นตอนที่จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ทีเพียงไม่กี่คนในญี่ปุ่นที่สามารถเขียนแผนงานได้ดีพอที่จะทำให้ผู้บริหารของบริษัทต่างชาติพอใจได้ ต่อไปคนที่จะได้งานคือคนที่เขียนโครงการหรือแผนงานได้ไม่ขาดไม่เกินนั่นเอง 91.การสั่งสมทฤษฎีก็คือการทำธุรกิจนั่นละ คุณรู้จัก ศึกให้ต้นสนวัดอิชิโจะจิ ของมุซะชิ มะยะโมะโตะหรือไม่เรื่องนี้มีอยู่ว่า สำนักดาบโยะชิโอะกะที่ยิ่งใหญ่ใช้ศักดิ์ศรีของสำนักเป็นแบบเดิมพันโดยมีมะตะชิชิโระ เจ้าสำนักรุ่นเยาว์และศิษย์ของสำนักเกือบ 100 คนเข้าต่อสู้กับมุชะชิเพียงคนเดียว ในการสู้รบที่เป็นรองชนิดเทียบทันกันไม่ติดเช่นนี้มุชะชิมีวิธีการรับศึกอย่างไร มุชะชิไม่ได้คิดว่าเงื่อนไขในการเอาชนะคือต้องล้มศัตรูทั้งร้อยคน แต่เขาคิดว่าฆ่ามันมะตะชิชิโระ ซึ่งเป็นหัวหน้าเพียงคนเดียวก็ชนะแล้ว ดังนั้น เขาจึงเข้าไปในพื้นที่อย่างรวดเร็วและซ่อนตัวเพื่อคอยโอกาสจากนั้นหลบเข้าไปในทางคันนาซึ่งเป็นทางเดินแคบๆ ภูมิภาคประเทศเช่นนี้บังคับให้ศรัตรูต้องเข้ามาสู้แบบตัวต่อตัว แม้จะแห่กัยนมามากแค่ไหนก็ตาม มองเผินๆเหมือนเป็นเรื่องยาก ถ้าคิดหาเงื่อนไขในการเอาชนะได้จะหาอุปสรรคกลายเป็นเรื่องเล็กเกินคาดก็ได้ ในการแก้ปัญหา ให้คิดหาทฤษฎีว่าควรจะทำอะไรไว้ล่วงหน้า ถ้าทำได้อย่างนี้ สัดส่วนของความสำเร็จก็จะสูงขึ้น 92.ถ้าไม่เตรียมใจว่า “ลำพังคนเดียวก็เอาชนะได้” ก็ต้องถูกเขี่ยออกจากสังคม ถ้าผมเป็นครูคงจะสอนว่า “ พวกเรามาช่วยกันเอาตัวรอดเถอะนะ” แต่ผมเป็นนักธุรกิจที่มองโลกตามความเป็นจริง จึงอยากบอกให้ทุกคนทราบว่า “ความคิดและทัศนคติแบบนั้นจะไม่ช่วยให้อยู่รอดได้เลย” ผมคาดการณ์ไว้ว่า นับจากนี้ไปถึง 10 ปีข้างหน้า เป็น “ ยุคแห่งหารฟาดฟัน” คนที่อ่อนแอต้องเลิกกิจการ ธุรกิจของคนเข้มแข็งเท่านั้นที่จะผูกขาดตลาด กลายเป็นโลกของความโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาแบบนั้นไม่มีสิ่งใดอันตรายยิ่งกว่าการพึ่งพาคนอื่นเพื่อให้มีชีวิตรอด บริษัทคู่ค้าที่เคยรับปากว่าจะสู้ไปด้วยกัน จะปิดกิจการหรือยกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ไม่มีใครรู้ได้ ที่พึ่งพาได้ก็มีแต่ตัวเองเท่านั้น จึงควรจะลืมความรู้สึกชอบพึ่งพาคนอื่นเสียเดี๋ยวนี้ ก่อนอื่นจงงเอาชนะด้วนตัวเอง แล้วค่อยช่วยชีวิตคนรอบข้าง เพื่อความอยู่รอด ขอให้อยู่ในโลกแห่งความจริงเสมอ
การฟันดาบนี้ แม้แต่เด็ก 10 ขวบก็สามารถสู้กับผู้ใหญ่ทีมีฝีมือระดับสูงได้ ดังนั้นจึงต้องสู้ถึงขั้นเอาเป็นเอาตายต้องคิดวางแผนเพื่อไม่ให้แพ้ ถ้ารู้ว่าไม่มีทางชนะได้เมื่อบุกเข้าไปตรงๆก็ต้องใช้วิธีแก้ขัดไปก่อน เช่น แกล้งทำเหมือนไม่จงใจแล้วคอยโจมตีเมื่อคู่ต่อสู้เปิดช่องว่าง ระหว่างนั้นถ้ารู้ว่าคู่ต่อสู้จเปิดช่องตอนไหน ก็เท่ากับการเป็นฝ่ายแพ้ข้างเดียวจะหมดไป การ “ จ้องหาจังหวะบุก” อาจฟังดูขี้ขาด แต่จากประสบการณ์ของผมในเวลาต่อมา การที่คนอ่อนแอจะสู้กับคนแข็งแรงได้ จำเป็นต้องหาจังหวะหรือกลยุทธ์ของตัวเอง วิธีนี้ทำให้ดูเหนือชั้นกว่าด้วยซ้ำ การใช้สติปัญญาทั้งหมดเพื่อเอาตัวรอด นี่ละคือ กลยุทธ์ ที่ไม่มีสอนในหนังสือคู่มือ ผมอยากให้คนรุ่นใหม่ตระหนักในเรื่องนี้ไว้ให้ดี 94.ร้านค้าที่บริการไม่เท่าเทียมกันที่ถูกกำจัดออกไป ระยะหลังนี้ผมมีโอกาสไปเยื่ยมเยือนมหาวิทยาลัยตามเมืองต่างๆ ในฐานะอาจารย์บ่อยขึ้น ยังจำได้ถึงบริการของโรงแรมในเมืองหนึ่งได้ แต่ไม่ได้จำเพราะบริการดี การบริการนั้นแย่มากจนจำได้ขึ้นใจและเผลอเขียนลงไปในสมุดบันทึกด้วย ผมเดินทางไปเพื่อบรรยายเลยต้องถึงโรงแรมล่วงหน้า 1 วัน เมื่อผมไปที่ห้องอาหารเพื่อกินอาหารเช้า ทางดรงแรมก็ต้อนรับแรกกลุ่มเล็กๆและผมไปที่ห้องเล็กที่จัดแยก ผมสังเกตดูเห็นว่าคูปองกินอาหารถูกแบ่งประเภทด้วยสี แขกที่เข้าไปใช้ในห้องอาหารปกติไม่ได้แต่แขกที่มาเป็นกลุ่มใหญ่เท่านั้น เมื่อเข้าไปในห้องเล็ก ปรากฎว่าไม่มีบริการเข้ามาแม้แต่กาแฟด้วยซ้ำ การเลือกปฎิบัติไม่ได้ตกลงแค่นั้น เมื่อผมไปรอรถแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมเพื่อเดินทางไปยังมหาลัย ทางโรงแรมก็เลือกบริการแขกที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ก่อนโดยไม่คิดจะช่วยผมเรียกรถเลย ขณะที่ทางโรงแรมกันรถไว้ให้แขกกลุ่มใหญ่ที่มารอรถทีหลังผมอยู่นั้น ผมก็เกิดความรู้สึกว่า ช่างเป็นโรงแรมที่บริการแย่เหลือเกิน ถ้าเป็นเรื่องงานผมไม่ปล่อยไปแน่ แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัว จึงทนกับความรู้สึกำว้ เพราะผมไม่ใช่คนที่จะเรียกร้องสิทธิ์อะไรนัก แต่พอดีมีคนรู้จักที่ที่ทำงานในโรงแรมในเครือข่ายเดียวกันนั้น ผมจึงโทรศัพท์ไปถามเขาว่า “โรงแรมนั้นทำไมทำอย่างนี้” เพราะผมรู้ดีถึงความน่าลกัวของการบอกต่อปากต่อปากถ้ามีรู้ค้าที่รู้สึกแย่ๆกระจายข่าวให้คนรอบข้างรู้ละก็ ในที่สุดแขกสำคัญก็คงจะหายเกลี้ยง เรื่องนี้นำมาใช้ในการผลิตสินค้าไว้ด้วย ถ้าสินค้าไม่สร้างความพึงพอใจ ครั้งต่อไปลูกค้าก็คงจะซื้อของผู้ผลิตรายอื่น เรื่องนี้ยังไม่ใช้กับบริษัทคู่ค้าและลูกค้าด้วย การแบ่งลำดับชั้นของคู่ค้าออกด้วยเหตุผลต่างๆทอดทิ้งกลุ่มหนึ่งแต่บริการอีกกลุ่มหนึ่งดีเกินจำเป็น การให้บริการที่ไม่มีความเสมอภาคนี้จะสร้างความแค้นให้ลูกค้าอีกกลุ่มโดยไม่รู้ตัว
“ในการทำธุรกิจ คนที่มองปรากฎการณ์ตรงหน้าแค่ผ่านๆ กับคนที่รู้สึกสงสัยว่า มันเป็นเพราะอะไร จึงทำให้ความสามารถในการวิเคราะห์และมีวิสัยทัศน์กว้างไหลต่างกันออกไป สิ่งนี้เกิดจากความพากเพียรของเจ้าตัวมากกว่าเกิดจากพรสวรรค์ ดังนั้น ระหว่างคนที่ทำตามคำสั่งโดยไม่คิดอะไรเลย กับคนที่ตั้งคำถามให้มาก และพยายามคิดว่า เอาละ ต่อจากนี้จะสร้างผลงานซักชิ้น คุณภาพของคนช่างสงสัยย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน เมื่อมาทบทวนดุ สมุดบันทึก “เอ๊ะ น่าสนใจ” ก็เป็นแหล่งรวบรวมความช่างคิดสงสัยของผมเช่นเดียวกัน ผมจดบันทึกเรื่องสงสัย ตั้งมลสมมุติฐาน ถ้ามีข้อมูลใหม่ที่หักล้างข้อสงสัยเดิมได้ ก็จดบันทึกเพิ่มเติมลงไปอีก การปฎิบัติเช่นนี้ทำให้รู้สึกว่าความสามารถในการวิเคราะห์และวิสัยทัศน์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จึงเข้าใจความหมายของผู้บริหารท่านนั้น โดยเฉพาะส่วนใหญ่ที่กล่าวว่า ความช่างสงสัยจะได้มาก็ด้วยคงามใส่ใจและความพยายาม เป็นเรื่องที่นำไปใช้เตือนใจได้อย่างดี ได้ฟังแล้วรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง การทำงานในคริสต์ศตวรรษที่ 21 นี้ คนที่พอใจอยู่กับงานธรรมดาสามัญ จะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์หรือคอมพิวเตอร์จนหมด สิ่งที่ผมได้เรียนรู้อย่างแจ่มแจ้งจากผู้บริหารท่านนั้นคือ พลังของมนุษย์ที่หุ่นยนต์เลียนแบบไม่ได้ ก้คือความสามารถในการ ช่างสงสัยนี้เอง 96.ถ้าแม้บริษัมจะเลิกกิจการถ้ายังมีกำลังใจไม่ย่อท้อก็ยังมีหนทางทำมาหากินได้ อาจดูเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆซักหน่อย แต่คำพูดที่ผมขอภรรยาแต่งงานคือ “ สมมุติว่าบริษัทเจ๊ง ผมก็ยังดูแลคุณได้” ภาวะเศรฐกิจในยุคนี้ ทั้ง “มืดมน” และ “เลวร้าย” แต่จะโทษว่า “โลกนี้ช่างโหดร้าย” แล้วปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งไปตามบุญตามกรรม ก็คงจะกลายเป็นคนขี้แพ้ไปจริงๆ ในยุคที่ไม่รู้ว่าจะถูกเลิกจ้างเมื่อไรเช่นนี้ อยากให้คิดไว้ว่า “มีกำลังใจ ร่าเริง แม้จะถูกปลดออก แต่ก็จะแสดงความสามารถที่แท้จริงให้เห็น ภายใน1 เดือนจะต้องทำงาน” ถ้าตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่ตอไปจริงๆ แม้ไม่เลือกงานมากนัก ผมเชื่อว่า ในญี่ปุ่นยังมีหนทางทำมาหากินเหลืออยู่ แนวโน้มของสังคมญี่ปุ่นจะยังเป็นไปดังเดิม คือมีบริษัทที่เลิกกิจการบ้าง พนักงานจำนวนมากถูกโยกย้ายบ้าง เมื่อเกิดโชคร้ายต้องมีความรู้สึกแข้มแข็ง “ เพื่อชีวิตอยู่ต่อไป ใน1 วันจะทำงานด้วยพลัง 120%” ความคิดแบบนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ในภาวะเช่นนี้เราต้องทำสิ่งที่ตัวเองทำให้สุดความสามารถ และตรงไปตรงมา จากจะหันหลังในอนาคตและคิดว่า “ ชีวิตนี้ไม่ไหวแล้ว” ก็เท่ากับคนคนนั้นหมดพลังใจ ยอมเป็นคนขี้แพ้เสียแล้ว หากจะหันหลังในอนาคตและคิดแต่ว่า “ชีวิตนี้ไม่ไหวแล้ว”เท่ากับ คนคนนั้นหมดพลังใจ ยอมเป็นคนขี้แพ้เสียแล้ว แม้จะเคยแพ้หรือล้มลุกคุกคลานมาแล้ว ก็ขอให้เป็นคนที่หมั่นฝึกฝนตัวเองเพื่อโอกาสอยู่เสมอ 97.จงเป็นคนที่ส่งเสียงดังได้เมื่อตื่นนอนตอนเช้า ทุกเช้า ผมใช้เวลา 40 นาทียืดเส้นยืดสายในแบบเฉพาะตัว โดยหารหวดดาบไม้ที่มีน้ำหนักมากแบบเดียวกับดาบของมุชะชิ มิยะโมะโตะ ผมทำกิจวัตรนี้ต่อเนื่องมาราว 25 ปีแล้ว ผมเคยป่วยค้วยโรคเลือดออกในสมอง จนทำให้ต้องหยุดทำงานไปเป็นปี จึงเข้าใจดีว่า สำหรับคนทำงานแล้ว การมีสุขภาพดีนับเป็นพรอย่างหนึ่ง เนื่องจากผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องสุขภาพมาตลอด จึงรู้ว่าการทำงานให้ได้ใจคนนั้น เงื่อนไขเบื้องต้นที่ขาดไม่ได้คือสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะผู้นำ การเพิ่มพลังให้หน่วยงานที่ดูแลอยู่ จำเป็นต้องเพิ่มพลังของลูกน้องให้สูงยิ่งขึ้น ต้องให้ลูกน้องแสดงพลังแข็มแกร่งออกมามากที่สุด โดยเฉพาะเวลา 40 นาทีในตอนเช้า สิ่งงล้ำค่าที่การฝึกฝนร่างกายเป็นประจำมอบให้แก้ผมคือพลังในการ “ส่งเสียงดังเมื่อตื่นนอนตอนเช้า” องค์กรที่ผู้นำได้แต่ส่งเสียงอู้อี้เหมือนพลังตื่นนอน ไม่มีทางสร้างแรงจูงใจใรการทำงานให้เพิ่มขึ้นได้เด็ดขาด ซึ่งสาเหตุก็ชัดเจนอยู่ในตัวเองแล้ว |