66.คนที่ชอบพูดว่า “ไว้คราวหน้าจะดูมาให้เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ แผนงานที่ลูกน้องส่งมา เมื่อถูกซักถามในส่วนที่ไม่ชัดเจน มักได้รับคำตอบว่า “ไว้คราวหน้าจะดูมาให้ครับ” ที่จริงผมไม่เชื่อถือคนแบบนี้เลยแม้จะดูเข้มงวดมากเกินไป แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนความคิดนี้เลย ทั้งนี้เพราะว่า ถ้ามีสิ่งที่เจ้านายอย่างผมนึกอยากจี้ถามขึ้นมา ก็แสดงว่าตอนที่เขียนแผนงานนี้ คนเขียนไม่ได้ให้ละเอียดถี่ถ้วนนั้นเอง ตามปกติผมมักแนะนำว่า “ปัญหาที่คาดเดาได้ว่าจะเกิดแน่ ให้กำจัดเสียหมด” หมายความว่า ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจนั้นวัดกันที่ความสามารถในการตั้งสมมุติฐานว่าน่าจะเกิดปัญหามากน้อยแค่ไหน ดังนั้น การนำแผนงานที่มีช่องดหว่ให้เจ้านายจี้ถามได้ทันทีนั้น แสดงว่าคนทำงานยังไม่มีความสามารถเต็มตัว ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เชื่อคนเหล่านี้ตลอดไปนะ เขาพยายามทำแผนงานที่แสดงถึงความรับผิดชอบเมื่อไร ผมก็จะเลิกมองด้วยความเอนเอียงและให้โอกาสเขาอีกครั้ง สิ่งหนึ่งที่อยากให้ระวังคือ พนักงานในฝ่ายวางแผนหรือนักวางแผนต่างๆซึ่งตำแหน่งนี้ไม่มีความกระตือรือร้นในการทำงานก้ไม่มีทางอยู่รอดได้จึงขอให้ดูที่ความกระตือรือร้นในการทำงานเป็นอันดับแรก 67.ในโลกของธุรกิจแค่ 70 คะแนน ถือว่าไม่ผ่าน บางคนกำหนดระดับการทำงานท่ถือผ่านสำหรับตัวเองไว้ที่ 70 คะแนน เหมือนคิดว่า “ เอาละ ประมาณนี้ก็ใช้ได้แล้ว” ผมไม่คิดว่าคนพวกนี้เป็นคนเขลา แต่มองว่าเป็นคนสะเพร่ามากกว่า โลกธุรกิจแตกต่างกับชีวิตในมหาวิทยาลัย การสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ว่าจะได้คะแนนเต็มหรือได้แค่ 70 คะแนนก็ถือว่าผ่านอยู่ดี แต่ในโลกธุรกิจ บ่อยครั้งท่แม้ได้ 95 คะแนน อีกฝ่ายก็ตัดสินจากมาตฐานของตัวเองว่าใช้ไม่ได้ ผมมองว่าคนที่พอใจใน 70 คะแนนคือคนที่ปิดหูปิดตาให้แก่ส่วน 30 คะแนน แล้วทิ้งมันไปอย่างน่าเสียดาย ยกตัวอย่างเช่น คนที่ถ้าพยายามติดต่อมากขึ้นอีกแค่ครั้งเดียว หรือเจรจาเพิ่มอีกแค่ชั่วโมงเดียวก็จะได้เซ็นสัญญาแล้ว แต่กลับถอบกลับไปเสียก่อน มองอย่างไรก็เป็นแค่คนที่เสียประโยชน์ เพราะทำแค่ระดับผ่านตัวเอง ในรายการตรวจสอบคุณภาพสินค้า แม้ผ่าน 99 จุด แต่มี 1 จุดที่ ไม่ผ่านก็ถือว่าเป็นของเสีย จึงต้องตั้งเป้าหมายไว้ที่ 100% เสมอ แบบนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นคนทำงานที่มีฝีมือ 68.เวลาพบลูกค้าต้องทำให้รู้สึกถึงอนาคตร่วมกัน ขณะทำงานให้บริษัทที่กำลังฟื้นฟูกิจการ สิ่งที่ทำให้ผมกลุ่มใจอยู่เสมอ คือ ความรู้สึกที่ว่า “ บริษัทนี้ไม่มีจุดขาย” สาเหตุส่วนใหญ่มักมาจากความหย่อนยานในการบริหารอย่างที่สุด การไม่มีสินค้าที่ดึงดูดใจลูกค้าได้ หมายถึงการขาดรายได้ในที่สุดยิ่งกว่านั้น ในด้านการขายก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไรแต่วิธีแก้ไขก็แสนธรรมดา เมื่อไปพบลูกค้าแล้วตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว ถ้าเป็นผมจะพยายามแสดงให้เห็นว่า บริษัทของเราจะมีความสำคัญต่อลูกค้าในอนาคตในทางปฎิบัติคือ พูดถึงแผนผังการดำเนินโครงการในอีก 5 ปี หรือ 7 ปีข้างหน้า หรือให้คำว่าจะออกสินค้าใหม่ปีละ 2 ชนิดเป็นต้น เรื่องแบบนี้สำหรับตัวบุคลก็เช่นกัน ระหว่างคนที่ดูแล “ คบไปก็ไม่เห็นมีอะไรดี” กับคนที่ “อืม คนนี้ท่าทางจะมีอนาคตนะ” แน่นอนกว่าคนที่ดึงดูดความสนใจไว้คือคนหลัง
ระดับแรกเรียกว่า “คนตรง” คนระดับนี้เป็นคนโรคหัวไว ดูมีความสามารถ แต่การเป็นคนตรงกลับทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ ด้านการทำงานก็เป็นคนที่ “รู้เทคนิค” แต่งานมีกจบลงอย่างทื่อๆ เพราะขาดความสามารถในการประสานงาน คิดว่าตัวเองคือ “ จุดศูนย์กลาง” จึงทำงานเก่งเฉพาะในขอบเขตของตัวเอง ถ้าคนระดับนี้เพิ่มความสามารถในการประสานงานขึ้นมาสู่ระดับที่ 2 คือ “คนเข้าใจ” เรียกง่ายๆว่าเลื่อนขั้นขึ้นไป “คนน่าศรัทธา” ในการทำงานเขาจะไม่ไช้ “เทคนิค” ตื่นๆ แต่จะใช้ความสารถในการประสานงานให้คนงานและเติบโตขึ้นอย่าง “มีแผน” เมื่อพัฒนามาถึงจุดนี้ เราสามารถวางใจให้เขาเป็นหัวหน้าแผนกได้ แล้วทีนี้ ถ้า “ คนเข้าใจ” พัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่งจะเรียกว่าอะไร ผมขอเรียกว่า “คนนำ” ไม่เพียงแต่ในระดับบริษัทเท่านั้น แต่ยังสามารถแสดงแผนผังเส้นทางการดำเนินโครงการ หรือเรียกว่าเป็น “หนทาง” เพื่อสังคมและเพื่อนมนุษย์ได้อีกด้วย แต่การจะมาถึงจุดนี้ได้ ความทุ่มเทในการทำงานอย่างเดียวไม่เพียงพอแต่คุณคิดไปทำงานไปอยู่เสมอหรือเปล่า นอกจากเพื่อบริษัทและเพื่อคนในบริษัทซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว การคิดว่าควรทำอะไรให้สังคมได้บ้างถึงจะเรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่เรียกว่าทำงานเป็น เมื่อคิดดังนั้นแล้ว จึงได้คำตอบอย่างหนึ่ง “คนตรง” คือคนที่คิดแต่เรื่องของตัวเอง “คนเข้าใจ” คือคนที่ห่วงใยแผนกหรือบริษัท “คนนำ” คือคนที่คิดกว้างออกไปถึงระดับสังคม ความจริงก็คือ ความมีน้ำใจของคนคนหนึ่ง วัดได้จากความรับผิดชอบต่อผู้อื่นว่ามีมากน้อยเพียงใด 70.จงมั่นใจในคุณภาพของสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่น เรื่องนี้เกี่ยวกับบริษัทเทรดดิงขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ส่งยาฆ่าแมลงไปขายในประเทศไทย สินค้านี้ติดฉลากที่แปลภาษาไทยตัวโตๆว่าเป็นสินค้าจากญี่ปุ่นหลังจากเตรียมการมาอย่างถี่ถ้วน เมื่อไปวางขายในซูเปอร์มาเก็ตปรากฎว่าขายไม่ออกเลย จึงเปลี่ยนฉลากกลับเป็นภาษาญี่ปุ่น และพิมพ์คำแปลภาษาไทยด้วยตัวหนังสือเล็กนิดเดียวไว้ที่มุมฉลาก ผลคือขายดิบขายดีอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว ความจริงแล้ว หลายประเทศในแทบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ของประเทศญี่ปุ่นอย่างสิ้นสุด ถึงขนาดที่ประเทศจีน คนมีอันจะกินบางคนเลือกกินเฉพาะผักจากระเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว นั่นน่าจะเป็นเพราะวิธีการควบคุมผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่นแตกต่างกับประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียอย่างสิ้นเชิงมิใช่หรือ ถึงกระนั้นยังต้องควบคุมคุณภาพสินค้าด้วยหลักการที่ว่า “ผลิตสินค้าที่ดี” ซึ่งทำได้ในเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น ในขั้นตอนการผลิตต้องควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้มีสินค้าด้อยคุณภาพออกมา ในขณะประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียนั้น “ผลิตสินค้าให้ได้จำนวนมาก” คือผลิตออกมาก่อนแล้วค่อยมาคัดแยกสินค้าด้อยคุณภาพออก ใช้หลักการว่า อย่งไรก็ตามขอให้ผลิตออกมาก่อน แน่นอนว่า ความแตกต่างนี้แสดงออกมาในรูปของคุณภาพสินค้าจึงทำให้ผู้คนจากหลายประเทศในเอเชียสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของสินค้าญี่ปุ่นในด้านคุณภาพ แม้แต่ประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาก็ยังมั่นใจในความ “น่าเชื่อถือ” เช่นนี้ของญี่ปุ่น ความจริงแล้วคาร์ล ไชส์ เลนส์ยี่ห้อดังจากประเทศเยอรมันนีนั้น ผลิตในประเทศญี่ปุ่นโดยบริษัทโคชินา แม้แต่ประเทศที่ขึ้นชื่อด้านอุปกรณ์ที่เน้นความละเอียดแม่นยำอย่างเยอรมนี ก็ยังจ้างผลิตสินค้าในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีค่าแรงสูง ดังนั้น ความสามารถของประเทศญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่ดูถูกกันไม่ได้แน่นอน เรื่องนี้คุณนำไปใช้กับตัวเองได้ มาตรฐานการศึกษาของญี่ปุ่น โดยเฉพาะการอบรมพนักงานของญี่ปุ่นนับว่ามีความละเอียดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ข้อดีของวัฒนธรรมการทำงานในบริษัทแห่งเดียวไปตลอดชีวิตในอดีตอาจยังฝากสิ่งดีๆเอาไว้มากมายจนถึงปัจจุบันก็ได้ ในตัวคุณซึ่งทำงานด้วยรากฐานที่ดีและความกล้าหาญนั้น มีทั้งความสามารถในเชิงปฎิบัติและความรู้สติปัญญาเพื่อการเอาตัวรอดพร้อมอยู่แล้ว “ต้องมีความมั่นใจมากกว่านี้” คือคำท่ผมอยากฝากถึงคนทำงานที่กำลังอ่อนแอในประเทศญี่ปุ่น 71.ต้องกล้าลงทุนในธุรกิจด้วยทุนของตัวเอง ผมเคยแนะนำตรงๆกับประธานของบริษัทที่กำลังจะล้มละลายอยู่รอมร่อว่า “ก่อนคุณต้องใช้ทุนของตัวเอง” โดยเฉพาะสมัยนี้ยิ่งมีสถานณ์การประเภทที่จำเป็นต้องบอกว่า “ถ้าไม่ทำขนาดนั้นละก็ บริษัทต้องเจ๊งแน่ๆ” บ่อยขึ้นทุกที คำว่าทุนในที่นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เงินเท่านั้น แต่คือการระดมทั้งเวลาความกระตือรือร้น ความพยายามที่มี ทุ่มเลลงไปในการทำงาน ในความฝืดเคืองอย่างไม่เคยมีมาก่อนนี้ ไม่ได้ง่ายเพียงแค่หลบอยู่ในที่ปลอดภัยแล้วจะรอดพ้นไปได้ เศรษฐกิจที่ซบเซามาจนถึงในตอนนี้ ในสถานการณ์ที่ต้องรับมือกับการเร่งรัดหนี้สินและการตามทวงหนี้อย่างไม่หวาดไม่ไหวเช่นนี้เราต้องการผู้ที่ยอมเสียสละเลือดเนื้อของตัวเอง สำหรับคนทำงานทั่วไปคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองและไม่อาจสัมผัสความรู้สึกได้ แต่ความจริงถ้าทำงานโดยไม่รู้สึกว่าต้องเสียสละทุนของตัวเองก็เท่ากับหลุดเข้าไปในภาวะที่รอดยาก ซึ่งอยากจะให้ทุกคนรู้ตัวเอาไว้ด้วย 72.ลืมเรื่องปมด้อยไปเสียคุณ “มีความสามารถ”มากว่าที่คิด คนส่วนใหญ่ที่ทำงานในบริษัทซอมซิ่ ร้อยทั้งร้อยคือคนประเภทที่เรียกว่า (Under Estimate Estimate) ประเมินตัวเองไว้ต่ำ แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็งอย่างไร แต่ในใจกับติดอยู่กับความรู้สึกมีปมด้อยว่า “ คนอย่างเราไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก” จิตสำนึกแบบนี้ไม่มีทางช่วยให้บริษัทที่กำลังแย่กลับฟื้นขึ้นมาได้ ดังนั้น สิ่งแรกที่ผมทำคือ กำจัดปมด้อยให้พวกเขาให้หมด และคอยตอกย้ำจุดแข็งของพวกเขาอยู่เสมอ เมื่อใดที่คุณรู้สึกเหมือนจะหมดความตั้งใจ ให้เขียนรายการข้อดีของตัวเองมาก่อน จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้เขียนไปเลยไม่ต้องกลัว ถ้าทำแบบนี้จนติดเป็นนิสัยแล้ว จะช่วยให้คุณเตือนตัวเองได้ว่า คุณมีความสามารถมากกว่าที่ตัวเองคิดเยอะเลย 73.เป็นคนทำงานใช้ได้หรือเปล่า จะรู้ก็ตอนล้างบริษัทนี่แหละ ผมมีคำสอนที่ใช้กับลูกน้อง ไม่ว่าจะเป็นรองประธานหรือพนักงานธรรมดาแสดงว่า “อย่าหัดเป็นคนเกียจคร้าน” ซึ่งต้องพูดบ่อยจนปากเปียกปากแฉะเลยทีเดียว เคยแม้กระทั้งพูดกับประธานของบริษัทที่เพิ่งเปิดว่า “ อย่าหัดเป็นคนเกียจคร้าน” คำนี้เป็นื้นฐานความคิดทางธุรกิจที่อยู่ในจิตสำนึกของผม เราจะเห็นอยู่บ่อยๆว่า บางคนมักไม่รักษากำหนดเส้นตาย หรือไม่ส่งมอบงานตามที่ตกลงกันไว้ เป็นต้น ในบริษัทระดับนานาชาติจะคัดคนเกียจคร้านแบบนี้ออกไปตั้งแต่แรก คนที่ไม่พยายามจะสร้างความสามารถเฉพาะตัว คนที่ชอบขโมยผลงานของลูกน้อง คนที่ยืมมือคนอื่นทำงาน ผมเรียกว่าคนเกียจคร้านทั้งหมด ที่น่าสนใจคือ เมื่อมีการตรวจสอบครั้งใหญ่ในบริษัท คนพวกนี้จะถูกจับผิดในรูปแบบการทำงาน เพราะคนพวกนี้ดีแต่ปาก ไม่ค่อยลงมือทำ แกล้งทำเป็นงานยุ่ง หรือ เลือกทำแต่หน้าที่ง่ายๆและไม่ต้องแสดงออกหน้า 74.อาวุธที่ช่วยให้ญี่ปุ่นครองโลกได้ คือความเชื่อถือในการทำงานหนัก หากว่าเหตุใดผมจึงเข้มงวดกับคนเกียจคร้านนัก คำตอบคือ เพราะประเทศญี่ปุ่นเติบโตขึ้นมาจากพื้นฐานความคิดที่ว่า “ประชากรมีความน่าเชื่อถือและทำงานหนัก” พูดอีกอย่างคือ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นแล้วเรียกได้ว่า ความน่าเชื่อถือและการทำงานหนักคือลักษณะพิเศษของคนญี่ปุ่น ดังนั้น ผมจึงรู้สึกอิดหนาระอาใจกับคนเกียจคร้านเป็นอย่างยิ่งนัก จากสบการณ์การทำงานในบริษัทระดับนานาชาติของต่างประเทศมานาน ผมคิดว่าไม่มีคนชาติไหนแล้วที่น่าเชื่อถือและทำงานหนักเท่ากับคนญี่ปุ่น เหตุนี้เองที่ทำให้คนญี่ปุ่นผลิตสินค้าคุณภาพสูงได้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด แต่เป็นความจริงว่าในระยะหลัง วิถีปฎิบัติอันงดงามนี้กำลังเลือนหายไปอย่างรวดเร็วญี่ปุ่นจะกลายเป็ฯประเทศระดับ 2 ระดับ 3 หรือจะครองโลกต่อไป คงต้องขึ้นอยู่กับ DNA การทำงานหนักที่มีติดตัวคนญี่ปุ่นมาโดยกำเนิดแล้วกระมัง ในระดับบริษัทเองก็เช่นกัน ถ้าคุณมีความน่าเชื่อถือและการทำงานหนักเป็นอาวุธ ก็จะไม่มีใครกล้าพูดว่าคุณยังทำไม่ดีอย่างแน่นอน 75.Step by Step คนที่ก้าวหน้าทีละกว้าสุดท้ายก็ต้องไปได้ไกลที่สุด ผมได้ยินคำว่า .Step by Step เป็นครั้งแรกตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม ซึ่งเป็นเวลา 60 ปีมมาแล้ว โยะชิโอะ โคะอิเดะ โค้ชผู้สอน นะโอะโกะ ทะกะฮะชิ นักกีฬาเหรียญทองประเภทมาราธอนหญิงนั้น เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับผม คุณครูจุนชิโร โอโน สอนเราทุกคนว่า จากนี้ไปพวกเธอจะต้องเรียนรู้เคล็ดลับการใช้ชีวิตในช่วงต่างๆตั้งแต่เด็กไปจนถึงโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เราจะเรียนทีเดียวทั้งหมดย่อมเป็นไม่ได้ ฝรั่งเขาเรีกว่า “สเต๊ปบายสเต๊ป” คือการเกินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างไม่รีบร้อน สิ่งที่คุณครูสอนไว้ ผมยังจำได้ว่าราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน คำพูดนี้กลายเป็นคำพูดโปรดของผมตั้งแต่นั้นมา การเดินด้วยตัวเองไปทีก้าวๆ นี่ละที่ทำให้เกิดพลัง ผมรู้สึกว่าคนญี่ปุ่นสมัยนี้ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้สักเท่าไร ดังที่เราเห็นตัวอย่างจากกระแสนิยม “Leverage” คือมีคนที่หวังผมกำไรสูงโดยใช้พยายามเพียงเล็กน้อยเพิ่มมากขึ้น แต่ความจริงมันไม่ง่ายอย่างนั้น คนที่ใช้ความพยายามมากที่สุดต่างหากจึงจะได้ผลลัพธ์มากที่สุดจากสบการณ์ 50 ปีในวงการธุรกิจของผม ซึ่งก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง 76.บ่นไปก็ไร้ประโยชน์ มีคนประเภทหนึ่งที่มีความสามารถแต่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งของผู้บริหารหรือนักการจัดการ นั่นคือคนชอบบ่น ที่บอกว่าไม่เหมาะสมก็เพราะ ทันทีที่ผู้นำเริ่มบ่น นิสัยนี้จะรามไปทั่วบริษัท โดยเฉพาะบริษัทที่กำลังฟื้นฟูกิจการ พนักงานแบกรับงานทั้งหนักหนาอยู่แล้ว การพร่ำบ่นของผู้นำจะทำให้แรงจูงใจในการทำงานของพนักงานลดฮวบลงทันที เป็นพลังทำลายล้าง เหมือนกับเรื่อกำลังล่มแล้วกัปตันเรือชิงตะโกนก่อนใครว่า “เรือจะล่มแล้ว” ความแตกตื่นจะลุกลามออกไปผลลัพธ์จึงออกมาเลวร้ายมาก ดังนั้น ผมเตือนว่า “ คำพร่ำบ่นไม่ควรหลุดออกมา” ด้วยเหตุผม 3 ข้อต่อไปนี้ ข้อแรกคือ ในแง่ศิลปะการใช้ชีวิตมองว่า การพร่ำบ่นจะทำให้ถูกผู้บังคับัญชาจับตามองมากว่าที่เราคิด ข้อ 2 คือมันทำให้แรงจูงในการทำงานลดลง เป็นการตัดกำลังใจการทำงาน ข้อ 3 คือ การพร่ำบ่นทำให้ตัวเราสูญเสียพลังในแง่บวกไปด้วย
ผมเองก็คิดว่า คาดการณ์ถึงอันตรายเช่นนี้ไว้ไม่ใช่เรื่องไม่ดี การพยายามหาความสามารถพิเศษให้ตัวเองเผื่อยามจำเป็น หรือการพยายามเอาใจลูกค้า ก็เป็นประโยชน์ต่อบริษัททั้งนั้นเหนืออื่นใดคือความสามารถด้านธุรกิจของตัวเองก็จะสูงขึ้นด้วย เพราะการคิดว่า “ต้องทำงานให้บริษัทอื่นยอมรับด้วย” ช่วยสร้างนิสัย “คิดไปทำไป” ได้มากกว่าที่เคย ลองกลับไปวิเคราห์งานที่คุณคิดว่าเป็นแค่หน้าที่ประจำวันอีกครั้ง แล้วเปลี่ยนความคิดนั้นใหม่ ถ้าโชคดีบริษัทไม่ได้เลิกกิจการ ความพยายามก็จะทำให้คุณเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” 78.คนที่บริษัทไม่อยากให้ลาออกคือคนที่พร้อมจะทำธุรกิจของตัวเอง ความพิเศษของบริษัทรีครูต น่าจะเป็นบริษัทที่ผลักดันพนักงานของตนที่มีความกระตือรือร้นให้เริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ถ้าให้ผมพูดจากประสบการณ์ ยิ่งใครไม่คิดลาออกจากบริษัทเด็ดขาด ในสายตาของบริษัทมักจะมองว่า การทำงานของคนคนนั้นยังขาดๆเกินๆในทางกลับกัน ยิ่งใครสามารถลาออกได้สบายๆก็ยิ่งเป็นคนอยากให้บริษัทอยู่ต่อ ดังนั้น บริษัทรีครูตจึงไม่ปล่อยให้คนที่มีความสามารถหลุดมือไปง่ายๆ แต่หว่ายล้อมอย่างชาญฉลาดด้วยการสนับสนุนให้เริ่มต้นทำธุรกิจ เป็นเรื่องแปลกแต่จริงว่า คนที่ไม่ว่าคิดอะไรก็จะยึดตัวเองเป็นหลักหรือคนที่พยายามวางอำนาจ ในความเป็นจริงก็คือคนเหล่านี้ยิ่งมีประโยชน์ต่อองค์กร ตรงกันข้าม คนที่ชอบพูดว่า “ พวกเรามาช่วยกันทำงานเถอะนะ” มีความเป็นไปสูงที่บริษัทจะมองว่าคนพวกนี้ “มาเพื่อกินเงินเดือนอย่งเดียว” ดังนั้น ขอให้คุณพัฒนาทักษะการทำงานให้ถึงระดับมือโปร ให้เก่งพอที่จะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองเมื่อไรก็ได้ รับรองว่าไม่มีขาดทุนแน่นอน 79.จุดแข็งของชาวต่างชาติคือความกล้าไม่ได้กล้าเสียอย่างเต็มที่ คุณสมบัติของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวตะวันตกหรือชาวจีนที่ดีกว่าชาวญี่ปุ่น คงจะเป็นความคิดกล้าได้กล้าเสียอย่าเต็มที่ พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นรองชาวญี่ปุ่นในด้านความน่าเชื่อถือและการทำงานหนัก แต่การตั้งใจทำงานในบริษัทให้สำเร็จ ก็เหมือนเสื่อที่กำลังจ้องตะครุบโอกาสที่จะเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองอย่างกระหาย ดังนั้น พวกเขาไม่ใช่แค่มารับเงินเดือนแล้วก็กลับบ้าน แต่พวกเขาจะคิดอยู่เสมอเมื่อมาทำงานว่า เคล็ดลับการทำงานคืออะไร อะไรทำให้ลูกค้าหรือเจ้านายพอใจ มีโอกาสที่จะใช้ทักษะของตัวเองสร้างธุรกิจได้หรือไม่เป็นต้น คนที่ต้องการประสบความสำเร็จบางคนต้องยึดอำนาจในบริษัทบ้าง ออกไปตั้งบริษัทเป็นขู่แข่งบ้าง ไปจนถึงพยายามแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากบริษัทที่เคยทำงานอยู่เลยทีเดียว หมายถึงต่างกันท่ลูกบ้า จุดที่คนญี่ปุ่นเป็นรองคนเหล่านี้คือ ความละโมบเพียงอย่างเดียว คุณไม่จำเป็นต้องเป็นลูกเกะเชื่องๆ จงหัดมีความต้องการกว่านี้ใช้ลูกบ้าลุยงานชนิดไม่ยอมแพ้ให้ใครหน้าไหนก็น่าจะดี 80.คนที่ไม่ออกแรงคนที่ไม่ใช้สมองโชคไม่มีวันเวียนไปหา เมื่อบริษัทจะจ้างคนที่มีประสบการณ์เข้าทำงาน สิ่งหนึ่งที่คำนึงถึงคือบริษัทต้องการ “คนมีโชค” ไม่มีอะไรอีกแล้วที่บริษัทจะนึกขอบใจเท่ากับมีคนที่ดึงดูดเทพธิดาแห่งโชคลาภเข้ามาในบริษัท ขอเล่าให้ฟังหน่อยว่าผมเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าสามารถมองหาคนแบบนั้นเจอภายในการสัมภาษณ์เพียงครั้งแรก คนที่สัมภาษณ์งานแบ่งออกเป็น3ประเภทใหญ่ๆ ประเภทแรกคือ คนที่ชอบพูดถึงตำแหน่งในอดีต เช่น “ผมเคยเป็นหัวหน้าแผนกในบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์มาก่อน” ประเภทที่ 2 ซึ่งพบมากที่สุดคือ คนที่พูดถึงความสำเร็จโดยใช้ตัวเลขมาอธิบาย เช่น ผมได้นำสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด ทำให้ยอดขายสูงถึง 100 ล้านเยน เมื่อฟังแล้วกลับรู้สึกว่า เก่งจริงหรือเปล่านะ ถึงตอนนี้ผมถามเพิ่มเติมเพื่อดูว่าเป็นคนที่มีโชคจริงหรือไม่ ด้วยคำถามว่า อะไรคือสาเหตุของการประสบความสำเร็จของโครงการที่ว่า แล้วคุณได้ใช้ทักษะและวิธีปฎิบัติอะไรทีมีส่วนในความสำเร็จนั้นบ้าง ปรากฎว่า น่าแปลกใจที่ไม่มีคำตอบชัดเจน ตอนที่ทำโครงการนั้นอาจมีโชคเข้าข้างก็จริง แต่เมื่อย้ายงานแล้ว ความโชคดีนั้นจะแสดงออกมาหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้ ประเภทที่ 3 นับเป็นคนมีโชคจริงๆ ที่ผมต้องการคือ คนที่สามารถกลั่นกรองสาเหตุแห่งความสำเร็จออกมาสร้างเป็น “สูตรสำเร็จ” ของตัวเองได้ หากคิดอย่างสุดโต่ง โชคในการทำงานธุรกิจก็คือผมที่เกิดจากทักษะนั่นเอง สูตรสำเร็จนั้นจะได้เฉพาะคนที่ทำงานไม่เกียจคร้านและใช้ความคิดอย่างเต็มที่เท่านั้น ในการสัมภาษณ์ ถ้าไม่พบคนที่มีสูตรติดตัว ก็จะได้พูดถงความล้มเหลวแทน ใครที่สามารถบรรยายสาเหตุของความล้มเหลวได้ดีก็จะเลือกคนนั้นเข้าทำงานในฐานะผู้สมัครที่ดีเป็นอันดับรอลงมา นั่นคือคนที่สามารถวิเคราะห์เรื่องราวอย่างใจเย็นโดยไม่ดทษว่าความล้มเหลวเกิดจากตัวบุคลหรือเกิดจากบริษัท ก็ยิ่งทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะสร้าง “สูตรกันพลาด” ของตัวเองได้ 81.ยิ่งเขียนแผนงานหลายแผ่นเท่าไหร่ก็ยิ่งขาดทุนเพิ่มขึ้นเท่านั้น ตัวเอกในนวนิยายเรื่อง แผ่นดินร้าง เป็นอดีตรองผู้บัญชาการทหารบก ได้ไปทำงานในบริษัทการค้าและใช้ความสามารถเชิงกลยุทธ์จนค่อยๆประสบผลสำเร็จ มีฉากหนึ่งที่เขาอ่านแผนงานที่ลูกน้องนำมาเสนอ แล้วร้องออกมาอย่างถูกอกถูกใจ “เหมือนที่ข้าคิดไว้เลย” แผนงานนั้นเขียนโดยยึดตามกฎของกองทัพญี่ปุ่น เนื้อหามีความยาวเท่ากับกระดาษจดบันทึกแผ่นเดียว ประกอบด้วยเรื่องที่นำเสนอเขียนแยกไว้เป็นหัวข้อ นอกนั้นคือปัจจัยสำคัญและปัญหาอีก 5 ข้อ เท่านี้ก็ยังเพียงพอแล้วและสมเหตุสมผลดีสำหรับกองกำลังทหารที่ต้องตัดสินใจเร่งด่วน มิฉะนั้นจะต้องสูญเสียกำลังทหารไม่รู้กี่ร้อยนาย ผมเองก็สั่งลูกน้องว่า “แผนงานต้องยาวเพียง 1 หน้ากระดาษ” จึงรู้สึกประทับใจว่าตั้งแต่สมัยก่อนก็มีคนคิดอย่างเดียวกับเราเหมือนกัน แม้รูปแบบการเขียนของผมจะซับซ้อนกว่าซักหน่อย แต่ก็เพิ่มขึ้นมาแค่ 2 หัวข้อ เท่ากับรวมเป็น 7 หัวข้อสั้นๆเท่านั้น เนื้อหาที่ควรจะมี แบ่งออกเป็น 7 หัวข้อ ดังที่ปรากฎในหน้าถัดไป 1เรื่องที่นำเสนอมีที่ไปอย่างไร 2 หัวข้อที่นำเสนอคืออะไร 3 มีโอกาส(ความเป็นไปได้)อย่างไร 4 เพื่อพิจารณาปัญหาและความเป็นไปได้ คุณจะตั้งเป้าหมายไว้ที่ไหน 5 กลยุทธ์และแผนดำเนินการเพื่อใบรรลุเป้าหมายคืออะไร 6 งบประมาณเพื่อดำเนินกรจามแผนต้องใช้เท่าไร 7 มีผลกระทบต้อเรื่องอื่นอย่างไร เมื่อเขียนแบบนี้ คนอ่านจะเข้าใจว่าอะไรคือปัญหาและอะไรคือวิธีแก้ปัญหาจากการอ่านเพียงครั้งเดียว ทำให้การประชุมดำเนินไปอย่างลื่นไหลส่วนเอกสารประกอบก็ให้เตรียมแยกเอาไว้ เมื่อจำเป็นต้องใช้ค่อยนำออกมา มองเผินๆแผนงานที่หนาเป็นปึกอาจดูมีเนื้อหาเต็มเปี่ยม แต่สำหรับผมแล้วมันดูเหมือนบังหน้าว่า “ ทำงานมาส่งมากขนาดนี้แน่ะ” เท่านั้นเองคนที่ชอบแก้ตัวมักมีสาระในหัวอยู่ไม่มาก เช่นเดียวกับคนที่ยิ่งเขียนแผนงานยาวเหนียดเท่าไร ก็แสดงว่าเป็นคนที่ดูเนื้อหาของงานไม่ออกเท่านั้น คนอ่านไม่มีเวลามานั่งอ่านแผนงานยาวๆ แบบนั้น จงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ
การสร้างลูกน้องที่สามารถเป็นตัวแทนของหัวหน้าได้หลายๆคน จะทำให้ทั้งแผนกมีความแข้มแข็ง แม้ตอนแรกหัวหน้าอาจคิดว่า ทำเองเร็วกว่า แต่การสร้างบุคลากรก็คือหน้าที่สำคัญของหัวหน้า 83.ตั้งเป้าไว้ที่ความสมบูรณ์แบบ แล้วจะมีผลพลอยได้ตามมมา เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่ผมทำงานในตำแหน่งประธานบริษัทและ CEO ของบริษัทผู้ผลิตแว่นตานิคอน-เอสชีลอร์ แว่นตาของบริษัทคู่แข่งและของบริษัทเราที่วางขายอยู่ในตู้โชว์สินค้า ต่างก็มีรอยนิ้วมือติดอยู่ที่เลนส์แว่นเต็มไปหมด ดังนั้น ผมจึงพูดว่า “ถ้าแว่นตาของบริษัทเราเป็นยี่ห้อเดียวที่ไม่มีรอยนิ้วมือติดอยู่ล่ะ จะเป็นยังไง” หลังจากนั้น ทุกครั้งที่พนักงานฝ่ายขายไปตามร้านค้า ก็จะเช็คแว่นตาของบริษัทจนสะอาด ทำให้ขอดขายเพิ่มขึ้นประมาณเท่าตัว แว่นตัวเป็นตาของที่ต้องสัมผัสร่างกายโดยตรง ดังนั้น การที่แว่นตามีรอยนิ้วมือหรือไม่นั้น มีผลต่อภาพลักษณ์ที่สื่อไปถึงลูดค้า การเช็ครอยนิ้วมือไม่เพียงส่งผลแค่นั้น ยังทำให้การจัดการว่างสินค้าเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นด้วย และคนรอบข้างก็ยังบอกว่า “ท่าทีของพนักงานพวกนั้นเปลี่ยนไปนะ” ทำให้พนักงานฝ่ายขายรู้สึกภูมิใจและได้กำลังใจในการทำงาน การตั้งเป้าหมายไว้ที่ดีแล้ว ยังได้ความชื่นบานในการทำงานมาเป็นผลพลอยได้ด้วย 84.คนที่ยิ่งน่ากลัวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นคนที่น่าเชื่อถือมากขึ้นเท่านั้น คำพูดนี้บาดลึกลงไปในใจของผมทุกครั้งที่ได้เลื่อนตำแหน่ง คนทำงานจำต้องโดดเดี่ยวยิ่งขึ้นตามตำแหน่งที่สูงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ประธานบริษัทซึ่งอยู่สูงสุดคือคนที่โดดเดี่ยวที่สุด พนักงานธรรมดาจะพูดล้อเล่นอย่างไรก็ไม่มีใครถือสา แต่เมื่อมีตำแหน่งสูงขึ้นจะถูกบังคับให้ต้องพูดเรื่องที่สร้างความไม่พอใจหรือเรื่องราวที่เป็นผลประโยชน์ของบริษัทอันดับแรก หากจะพูดว่าร้ายบริษัทต่อหน้าลูกน้อง แรงจูงใจในการทำงานของพวกเขาก็จะลดลง และยังนำไปสู่การปัดขากันเองอีก ดังนั้น การพยายามเป็นคนปากร้ายใจดีเป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะการสร้างระบบที่ไม่ยอมให้ลูกน้องโกหกหรือบิดเบือนอะไรได้ เป็นสิ่งสำคัญมากต่อการแสดงภาวะผู้นำ เพราะถ้าแสดงให้ลูกน้องเห็นความไม่หนักแน่น ยอมให้ลูกน้องพูดปดได้ครั้งหนึ่งแล้ว นอกจากลูกน้องจะไม่เกรงใจแล้ว ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกหักหลังในอนาคตด้วย ดังนั้น ต้องไม่แสร้งทำเป็นไม่เห็นต้นตอเล็กๆ ของการโป้ปดและปิดบือน โดยต้องมีคนคอยเป็นแหล่งข่าวและเครือข่ายข้อมูลภายในบริษัทเอาไว้ โดยเฉพาะเมื่อรับตำแหน่งผู้บริหารในบริษัทที่กำลังฟื้นฟูกิจการ ดังที่ผมเขียนไว้ก่อนหน้านี้ ผมประกาศไว้ภายในบริษัทว่า “การให้ข่าวนั้นเราชื่นชม แต่ไม่สบับสนุน” ความจริงคือการประกาศเฉยๆ ก็เป็นพลังในการยับยั้งอย่างหนึ่ง ความเท็จหรือความไม่ถูกต้องนั้นทำลายโครงสร้างของริษัทและแพร่กระจายไปสู่พวกที่ไม่เกรงกลัว หากมัวแต่กลัวว่าลูกน้องจะเสียขวัญ สุดท้ายก็จะกลายเป็นบริษัทที่ยอมรับความไม่ถูกต้องโดยไม่รู้สึกอะไร หัวหน้าที่ทำตัวสบายๆ นั้นแม้ลูกจะชอบ แต่ก็จะไม่ได้รับความน่าเชื่อถืออย่างแท้จริง 85.อย่าดูหมิ่น จงชมเชยสูตรเพิ่มความสามารถ 120 % ของโค้ช โยะชิโอะ โคะอิเดะ ตามที่ผมเขียนไว้ก่อนหน้านี้ โยะชิโอะ โคะอิเดะ โค้ชมาราธอนหญิงเป็นเพื่อนนักเรียนของผมมาตั้งแต่เรียนอนุบาล แม้ในสมัยนั้นเรายังเป็นเด็กเล็กมาก แต่ผมก็ไม่เคยเขาดูถูก ดูหมิ่น หรือว่าร้ายใครเลย เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่และพบกันในงานเลี้ยงรุ่น ก็ไม่เห็นว่าเขาพูดจาข่มใครเลย ผมคิดว่ากุญแจสำคัญที่เขาใช้ในการเพิ่มความสามารถของนักกีฬาอยู่ตรงนี้ เขาสามารถมองเอกลักษณ์ของนักกีฬาแต่ละคน ผมเดาว่าวิธีที่เขาฝึกฝนนักกีฬาคงมีกลไกดังนี้ อันดับแรก คือชมเชยเพื่อทำให้นักกีฬารู้ถึงข้อดีของตัวเองและเกิดความมั่นใจ จากนั้นก็ให้ฝึกซ้อมด้วยความรู้สึกกระตือรือร้นจนแสดงความสามารถออกมาได้ 120% ทำให้เกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น จนสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเข้าสู่โลกใหม่ ด้วยวิธีนี้ นักกีฬาจึงพัฒนาฝีมือมากยิ่งขึ้น การตำหนิมีแต่จะทำให้รู้สึกหมดเรี่ยวแรงจนวิ่งไม่ออก แทนที่จะจับมัดมือมัดเท้า การปล่อยให้ทำตามความรู้สึกอย่างอิสระนั่นเป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้คนพัฒนาขึ้น เรื่องนี้ก็เหมือนกันกับธุรกิจ เพียงมองหาข้อดีของคนหนุ่มสาวโดยเร็วแล้วทำให้เจ้าตัวรู้ตัว เขาก็สามารถฉายแววโดเด่นออกมาชัดเจน ซึ่งผมเคยเห็นมาาหลายต่อหลายครั้ง 86.หมดยุคของนิยายลึกลับแล้วต่อจากนี้ไปคือนิยายสยองขวัญเป็นยุคที่มองไม่เห็นทางข้างหน้าคุณสมบัติของมนุษย์ที่จะอยู่รอดได้คือคนที่พยายามต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว ก่อนจะถึงยุคฟองสบู่แตก ถ้าเป็นนิยายก็เปรียบเหมือนนิยายลึกลับพิศวง คือถึงแม้สภาพเศรษฐกิจจะเลวร้ายแต่ก็สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้ อย่างไรก็ดีในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าเราได้กระโจนเข้าสู่ยุคนิยายสยองขวัญกันแล้ว หมายความว่าต่อจากนี้ นอกจากอาจเกิดเหตุการณ์กะทันหันที่คาดเดาไม่ได้แล้วยังอาจต้องแบกรับความทุกข์ที่เหตุผลไม่ได้ต่อไปด้วย การเปลี่ยนระบอบการปกครองก็เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งของเรื่องนี้คนที่ทุกข์กับคนที่สุขจะกลับสถานะกัน หรือประชาชนทั้งหมดจะเป็นทุกข์ก็เป็นเรื่องที่มองไม่ออกจริงๆ ในนิยายลึกลับ คนที่ไม่น่าจะเป็นผู้ร้ายก็กลับเป็น คนที่ไม่น่าจะตายก็กลับตาย ส่วนคนที่จะรอดตายในนิยายสยองขวัญ คือคนที่ทำทุกวิธีทางให้รอดมาถึงตอนจบ ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า คนทำงานที่มีความตั้งใจเช่นนี้เท่านั้นถึงจะรอดตายได้ 87..ในสถาณการณ์คับขันคุณสมบัติที่จำเป็นของผู้นำคืออะไร เคยได้ยินมาว่า คนที่จะเป็นผู้จัดการหน้าใหม่ของบริษัทนิสชิน ฟูดส์ต้องไปรับการฝึกบนเกาะร้าง ทำให้รู้สึกวว่า “แม้แต่บริษัทก็เริ่มให้ความสำคัญกับการประเมินบุคลากรในสถานการณ์ที่ไม่ปกติแล้วนะ” การฝึกนี้มีจุดประสงค์ที่เดาไม่ยาก คือการเฟ้นหาคนที่มีความเป็นผู้นำโดยการเอาชีวิตรอดบนเกาะร้างนั่นเอง ในสถานการณ์นี้ คนที่จะเสียคะแนนคือคนที่มีลักษณะขลาดกลัว คนที่เกิดความหวาดกลัวเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายนั้นถึงแม้ในเวลาปกติเขาจะสามารถสั่งการได้ก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้ คนที่เมื่ออยู่ในสถานณ์การหน้าสิ่วหน้าขวานแล้วไม่มีควมคิดเห็นใดๆเลย และคนที่คอยทำตามคำสั่งของคนอื่นแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ก็จะเห็นได้ชัดเจนจากการฝึกนี้ จากการฝึกนี้ บริษัทจะได้รู้ว่า พนักงานประเภท “ถนัดด้านประสานงาน” ที่เป็นคนสำคัญในเวลาไม่มีปัญหาและสภาพเศรษฐกิจดีเหมือนกราฟพุ่งขึ้นนั้น ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ปกติ 88.สัตว์และแมลงเรื่องน่าทึ่งที่ได้เรียนรู้จากธรรมชาติ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งผมไปตีกอล์ฟในวันที่ร้อนระอุกกลางฤดูร้อนเพื่อนร่วมก๊วนคนหนึ่งได้พูดสิ่งที่น่าสนใจขณะดื่มเครื่องดื่มให้พลังงาน “เครื่องดื่มนี้ทำโดยผ่านการวิจัยแตนนะ จะบอกให้” ได้ยินแล้วก็คิดว่า ล้อเล่นน่า แต่พอดูที่ฉลากจึงเห็นว่ามีพิมพ์ไว้ด้วยตัวหนังสือเล็กๆอย่างนั้นจริงๆ พอกลับไปบ้านจึงีบตรวจาอบดูอีกครั้ง พูดให้ฟังง่ายๆ คือ จากงานศึกษาวิจัยหลายอย่างเกี่ยวกับแตน ทำให้พบว่าพละกำลังของแมลงที่ดุดันนี้ เกิดจากสารจำพวกสารประกอบกรดอะมิโนที่หลั่งออกมาเมื่อเป็นตัวอ่อน สารอาหารนี้ถูกนำมาใช้ในเครื่องดื่มของคนนั่นเอง ความจริงคือแตนมีพลังแสนน่าทึ่ง แม้มีร่างกายเล็กแต่จิ๋วแค่นั้น แต่กลับมีพลังในการบินได้ไกลถึง 100 กิโลเมตรต่อวัน นับเป็นกล้ามเนื้อและปีกที่มีพลังที่สุดในโลกที่บินได้ด้วยควมเร็วสูง ผมรู้สึกทึ่งกับความสามารถหลากหลายของสิ่งมีชีวิต ขณะเดียวกันก็รู้สึกประทับใจในผู้ผลิตสินค้าที่จับเอาความสามารถของแมลงใช้ในผลิตภัณฑ์ |